เมนู

เพราะเปรียบด้วยเครื่องบริโภคมีพิษ. อธิบายว่า ตัณหาเห็นปานนั้น
ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพื่อนำไปในภพไหน ๆ. พวกเจ้าจักนำ
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ?
ในกาลจบเทศนา ธัมมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาเป็นอันมาก. แม้ธิดา
มารก็อันตรธานไปในที่นั้นนั่นแล.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า " มาคัน-
ทิยะ ในกาลก่อน เราได้เห็นธิดามารทั้งสามเหล่านี้ผู้ประกอบด้วยอัตภาพ
เช่นกับแท่งทอง ไม่แปดเปื้อนด้วยของโสโครก มีเสมหะเป็นต้น. แม้
ในกาลนั้น เราไม่ได้มีความพอใจในเมถุนเลย. ก็สรีระแห่งธิดาของ
ท่านเต็มไปด้วยซากศพ คืออาการ 32 เหมือนหม้อที่ใส่ของไม่สะอาด
อันตระการตา ณ ภายนอก. แม้ถ้าเท้าของเราพึงเป็นเท้าที่แปดเปื้อนด้วย
ของไม่สะอาดไซร้. และธิดาของท่านนี้พึงยืนอยู่ที่ธรณีประตู; ถึงอย่างนั้น
เราก็ไม่พึงถูกต้องสรีระของนางด้วยเท้า " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" แม้ความพอใจในเมถุน ไม่ได้มีแล้ว เพราะ
เห็น นางตัณหา นางอรดี และนางราคา, เพราะ
เห็นสรีระ แห่งธิดาของท่านนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยมูตร
และกรีส. (เราจักมีความพอใจในเมถุนอย่างไรได้ ?)
เราย่อมไม่ปรารถนาเพื่อจะแตะต้องสรีระธิดาของท่าน
นั้น แม้ด้วยเท้า."

ในเวลาจบเทศนา เมียผัวทั้งสองตั้งอยู่แล้วในอนาคามิผล ดังนี้แล.
เรื่องมารธิดา จบ.

2. เรื่องยมกปาฏิหารย์ [149]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาทรงปรารภเทวดาและพวกมนุษย์เป็นอันมาก ที่พระ-
ทวารแห่งสังกัสสนคร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เย ฌานปฺปสุตา
ธีรา "
เป็นต้น.
ก็เทศนาตั้งขึ้นแล้วในกรุงราชคฤห์.

เศรษฐีได้ไม้จันทน์ทำบาตร


ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ ให้ขึงข่ายมี
สัณฐานคล้ายขวด เพื่อความปลอดภัย1 และเพื่อรักษาอาภรณ์เป็นต้น ที่
หลุดไปด้วยความพลั้งเผลอแล้ว เล่นกีฬาทางน้ำในแม่น้ำคงคา.
ในกาลนั้น ต้นจันทน์แดงต้นหนึ่ง เกิดขึ้นที่ริมฝั่งตอนเหนือของ
แม่น้ำคงคา มีรากถูกน้ำในแม่น้ำคงคาเซาะโค่นหักกระจัดกระจายอยู่บน
หินเหล่านั้น ๆ. ครั้งนั้นปุ่ม ๆ หนึ่งมีประมาณเท่าหม้อ ถูกหินครูดสี ถูก
คลื่นน้ำซัด เป็นของเกลี้ยงเกลา ลอยไปโดยลำดับ อันสาหร่ายรวบรัด
มาติดที่ข่ายของเศรษฐีนั้น.
เศรษฐีกล่าวว่า " นั่นอะไร ? " ได้ยินว่า " ปุ่มไม้ " จึงให้นำ
ปุ่มไม้นั้นมาให้ถากด้วยปลายมีด เพื่อจะพิจารณาว่า " นั่นชื่ออะไร ? "
ในทันใดนั่นเอง จันทน์แดงมีสีดังครั่งสดก็ปรากฏ. ก็เศรษฐียัง
ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ. ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ. วางตนเป็นกลาง; เขาคิดว่า
" จันทน์แดงในเรือนของเรามีมาก. เราจะเอาจันทน์แดงนี้ทำอะไรหนอ
แล ? " ทีนั้นเขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " ในโลกนี้ พวกที่กล่าวว่า 'เรา
1. เพื่อเปลื้องอันตราย.

เป็นพระอรหันต์ ' มีอยู่มาก. เราไม่รู้จักพระอรหันต์แม้สักองค์หนึ่ง; เรา
จักให้ประกอบเครื่องกลึงไว้ในเรือน ให้กลึงบาตรแล้ว ใส่สาแหรกห้อย
ไว้ในอากาศประมาณ 60 ศอก โดยเอาไม้ไผ่ต่อกันขึ้นไปแล้ว จะบอกว่า
' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่, จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาบาตรนี้; ผู้โคจัก
ถือเอาบาตรนั้นได้ เราพร้อมด้วยบุตรภรรยา จักถึงผู้นั้นเป็นสรณะ. "
เขาให้กลึงบาตรโดยทำนองที่คิดไว้นั่นแหละ ให้ยกขึ้นโดยเอาไม้ไผ่ต่อ ๆ
กันขึ้นไปแล้ว กล่าวว่า " ในโลกนี้ ผู้ใดเป็นพระอรหันต์. ผู้นั้นจงมา
ทางอากาศ ถือเอาบาตรนี้. "

ครูทั้ง 6 อยากได้บาตรไม้จันทน์


ครูทั้งหกกล่าวว่า " บาตรนั้น สมควรแก่พวกข้าพเจ้า. ท่านจง
ให้บาตรนั้นแก่พวกข้าพเจ้าเสียเถิด. " เศรษฐีนั้นกล่าวว่า " พวกท่าน
จลมาทางอากาศแล้วเอาไปเถิด. "
ในวันที่ 6 นิครนถ์นาฎบุตรส่งพวกอันเตวาสิกไปด้วยสั่งว่า " พวก
เจ้าจงไป. จงพูดกะเศรษฐีอย่างนั้นว่า " บาตรนั่น สมควรแก่อาจารย์ของ
พวกข้าพเจ้า. ท่านอย่าทำการมาทางอากาศเพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย
เลย. นัยว่า ท่านจงให้บาตรนั่นเถิด. " พวกอันเตวาสิกไปพูดกะเศรษฐี
อย่างนั้นแล้ว. เศรษฐีกล่าวว่า " ผู้ที่สามารถมาทางอากาศแล้วถือเอาได้
เท่านั้น จงเอาไป. "

นาฏบุตรออกอุบายเอาบาตร


นาฏบุตรเป็นผู้ปรารถนาจะไปเอง จึงได้ให้สัญญาแก่พวกอันเต-
วาสิกว่า " เราจักยกมือและเท้าข้างหนึ่ง เป็นทีว่าปรารถนาจะเหาะ,
พวกเจ้าจงร้องบอกเราว่า " ท่านอาจารย์ ท่านจะทำอะไร ? ท่านอย่าแสดง
ความเป็นพระอรหันต์ที่ปกปิดไว้ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ แก่มหาชนเลย '

ดังนี้แล้ว จงพากันจับเราที่มือและเท้าดึงไว้ ให้ล้มลงที่พื้นดิน. " เขาไป
ในที่นั้นแล้ว กล่าวกะเศรษฐีว่า " มหาเศรษฐี บาตรนี้สมควรแก่เรา.
ไม่สมควรแก่ชนพวกอื่น. ท่านอย่าชอบใจการเหาะขึ้นไปในอากาศของเรา
เพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย. จงให้บาตรแก่เราเถิด. "
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด.
ลำดับนั้น นาฏบุตรกล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงหลีกไป ๆ "
กันพวกอันเตวาสิกออกไปแล้ว กล่าวว่า " เราจักเหาะขึ้นไปในอากาศ
ดังนี้แล้ว ก็ยกมือและเท้าขึ้นข้างหนึ่ง. ทีนั้น พวกอันเตวาสิกกล่าวกับ
อาจารย์ว่า " ท่านอาจารย์ ท่านจะทำชื่ออะไรกันนั่น ? ประโยชน์อะไร
ด้วยคุณที่ปกปิดไว้ อันท่านแสดงแก่มหาชน เพราะเหตุแห่งบาตรไม้นี้ "
แล้วช่วยกันจับนาฏบุตรนั้นที่มือและเท้า ดึงมาให้ล้มลงแผ่นดิน. เขา
บอกกะเศรษฐีว่า " มหาเศรษฐี อันเตวาสิกเหล่านี้ ไม่ให้เหาะ, ท่าน
จงให้บาตรแก่เรา. "
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปถือเอาเถิด.
พวกเดียรถีย์ เเม้พยายามด้วยอาการอย่างนั้นสิ้น 6 วันแล้ว ยังไม่
ได้บาตรนั้นเลย.

ชาวกรุงเข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์


ในวันที่ 7 ในกาลที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระปิณโฑล-
ภารทวาชะไปยืนบนหินดาดแห่งหนึ่งแล้วห่มจีวร ด้วยตั้งใจว่า " จักเที่ยว
ไปเพื่อบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พวกนักเลงคุยกันว่า " ชาวเราเอ๋ย ใน
กาลก่อน ครูทั้ง 6 กล่าวว่า ' พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก. ก็เมื่อเศรษฐี
ชาวกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรขึ้นไว้แล้วกล่าวว่า ' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่,

จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด' วันนี้เป็นวันที่ 7 แม้สักคนหนึ่งชื่อว่า
เหาะขึ้นไปในอากาศด้วยแสดงตนว่า ' เราเป็นพระอรหันต์ ' ก็ไม่มี; วันนี้
พวกเรารู้ความที่พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว. "
ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า " อาวุโส ภารทวาชะ ท่านได้ยินถ้อยคำของ
พวกนักเลงเหล่านั้นไหม " พวกนักเลงเหล่านี้ พูดเป็นทีว่าจะย่ำยีพระพุทธ-
ศาสนา; ก็ท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก, ท่านจงไปเถิด จงมาทางอากาศ
แล้วถือเอาบาตรนั้น. "
ปิณโฑลภารทวาชะ. อาวุโส โมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าบรรดา
สาวกผู้มีฤทธิ์ ท่านจงถือเอาบาตรนั้น. แต่เมื่อท่านไม่ถือเอา ผมจักถือเอา.

พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์


เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนั้นว่า " ท่านจงถือเอาเถิดผู้มี
อายุ " ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าจตุตถฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ออก
แล้ว เอาปลายเท้าคีบหินดาดประมาณ 1 คาวุต ให้ขึ้นไปในอากาศเหมือน
ปุยนุ่น แล้วหมุนเวียนไปในเบื้องบนพระนครราชคฤห์ 7 ครั้ง. หินดาด
นั้นปรากฏดังฝาละมีสำหรับปิดพระนครไว้ประมาณ 3 คาวุต. พวกชาว
พระนครกลัว ร้องว่า " หินจะตกทับข้าพเจ้า " จึงทำเครื่องกั้นมีกระด้ง
เป็นต้นไว้บนกระหม่อม แล้วซุกซ่อนในที่นั้น ๆ. ในวาระที่ 7 พระ-
เถระทำลายหินดาด แสดงตนแล้ว.
มหาชนเห็นพระเถระแล้ว กล่าวว่า " ท่านปิณโฑลภารทวาชะผู้
เจริญ ท่านจงจับหินของท่านไว้ให้มั่น, อย่าให้พวกข้าพเจ้าทั้งหมด
พินาศเสียเลย. "

พระเถระเอาปลายเท้าเหวี่ยงหินทิ้งไป. แผ่นหินนั้นไปตั้งอยู่ในที่
เดิมนั่นเอง. พระเถระได้ยืนอยู่ในที่สุดแห่งเรือนของเศรษฐี. เศรษฐีเห็น
ท่านแล้ว หมอบลงแล้ว กราบเรียนว่า " ลงเถิด พระผู้เป็นเจ้า " นิมนต์
พระเถระผู้ลงจากอากาศให้นั่งแล้ว. ให้นำบาตรลง กระทำให้เต็มด้วยวัตถุ
อันมีรสหวาน 4 อย่างแล้ว ได้ถวายแก่พระเถระ. พระเถระรับบาตรแล้ว
บ่ายหน้าสู่วิหาร ไปแล้ว.
ลำดับนั้น ชนเหล่าใดที่อยู่ในป่าบ้าง อยู่ในบ้านบ้าง ไม่เห็น
ปาฏิหาริย์ของพระเถระ, ชนเหล่านั้นประชุมกันแล้ววิงวอนพระเถระว่า
" ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงปาฏิหาริย์แม้แก่พวกผม " ดังนี้แล้ว
ก็พากันติดตามพระเถระไป. พระเถระนั้น แสดงปาฏิหาริย์แก่ชนเหล่า
นั้น ๆ พลางได้ไปยังพระวิหารแล้ว.

พระศาสดาทรงห้ามไม่ให้ภิกษุทำปาฏิหาริย์


พระศาสดา ทรงสดับเสียงมหาชนที่ติดตามพระเถระนั้นอื้ออึงอยู่
จึงตรัสถามว่า " อานนท์ นั่นเสียงใคร " ทรงสดับว่า " พระเจ้าข้า
พระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปในอากาศแล้ว ถือเอาบาตรไม้จันทน์,
นั่นเสียงในสำนักของท่าน " จึงรับสั่งให้เรียกพระปิณโฑลภารทวาชะมา
ตรัสถามว่า " ได้ยินว่า เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ " เมื่อท่านกราบทูลว่า
" จริง พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " ภารทวาชะ ทำไม เธอจึงทำอย่างนั้น ? "
ทรงติเตียนพระเถระ แล้วรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้น ให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่
แล้ว รับสั่งให้ประทานแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่อันบดผสมยาตา
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการไม่ให้ทำ
ปาฏิหาริย์. ฝ่ายพวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ทราบว่า พระสมณโคดมให้ทำลาย

บาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้ทำ
ปาฏิหาริย์ " จึงเที่ยวบอกกันในถนนในพระนครว่า " สาวกทั้งหลายของ
พระสมณโคดม ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.
ถึงพระสมณโคดมก็จักรักษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเหมือนกัน. บัดนี้
พวกเรา ได้โอกาสแล้ว " แล้วกล่าวว่า " พวกเรารักษาคุณของตน จึง
ไม่แสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตรไว้ในกาลก่อน เหล่า
สาวกของพระสมณโคดมแสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตร.
พระสมณโคดมรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่า
สาวก เพราะพระองค์เป็นบัณฑิต. บัดนี้ พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับพระ-
สมณโคดมนั่นแล. "

พระศาสดาทรงประสงค์จะทำปาฏิหาริย์


พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว เสด็จไปยังสำนักพระ-
ศาสดา กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ได้ทราบว่าพระองค์ทรงบัญญัติสิกขา-
บทแก่เหล่าสาวก เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์เสียแล้วหรือ ? "
พระศาสดา. ขอถวายพระพร มหาบพิตร.
พระราชา. บัดนี้ พวกเดียรถีย์พากันกล่าวว่า ' พวกเราจักทำ
ปาฏิหาริย์กับด้วยพระองค์.' บัดนี้ พระองค์จักทรงทำอย่างไร ?
พระศาสดา. เมื่อเดียรถีย์เหล่านั้นกระทำ อาตมภาพก็จักกระทำ
มหาบพิตร.
พระราชา. พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เเล้วมิใช่หรือ ?
พระศาสดา มหาบพิตร อาตมภาพมิได้บัญญัติสิกขาบทเพื่อตน.
สิกขาบทนั้นนั่นแล อาตมภาพบัญญัติไว้เพื่อสาวกทั้งหลาย.