2. เรื่องยมกปาฏิหารย์ [149]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาทรงปรารภเทวดาและพวกมนุษย์เป็นอันมาก ที่พระ-
ทวารแห่งสังกัสสนคร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เย ฌานปฺปสุตา
ธีรา " เป็นต้น.
ก็เทศนาตั้งขึ้นแล้วในกรุงราชคฤห์.
เศรษฐีได้ไม้จันทน์ทำบาตร
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ ให้ขึงข่ายมี
สัณฐานคล้ายขวด เพื่อความปลอดภัย1 และเพื่อรักษาอาภรณ์เป็นต้น ที่
หลุดไปด้วยความพลั้งเผลอแล้ว เล่นกีฬาทางน้ำในแม่น้ำคงคา.
ในกาลนั้น ต้นจันทน์แดงต้นหนึ่ง เกิดขึ้นที่ริมฝั่งตอนเหนือของ
แม่น้ำคงคา มีรากถูกน้ำในแม่น้ำคงคาเซาะโค่นหักกระจัดกระจายอยู่บน
หินเหล่านั้น ๆ. ครั้งนั้นปุ่ม ๆ หนึ่งมีประมาณเท่าหม้อ ถูกหินครูดสี ถูก
คลื่นน้ำซัด เป็นของเกลี้ยงเกลา ลอยไปโดยลำดับ อันสาหร่ายรวบรัด
มาติดที่ข่ายของเศรษฐีนั้น.
เศรษฐีกล่าวว่า " นั่นอะไร ? " ได้ยินว่า " ปุ่มไม้ " จึงให้นำ
ปุ่มไม้นั้นมาให้ถากด้วยปลายมีด เพื่อจะพิจารณาว่า " นั่นชื่ออะไร ? "
ในทันใดนั่นเอง จันทน์แดงมีสีดังครั่งสดก็ปรากฏ. ก็เศรษฐียัง
ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ. ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ. วางตนเป็นกลาง; เขาคิดว่า
" จันทน์แดงในเรือนของเรามีมาก. เราจะเอาจันทน์แดงนี้ทำอะไรหนอ
แล ? " ทีนั้นเขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " ในโลกนี้ พวกที่กล่าวว่า 'เรา
1. เพื่อเปลื้องอันตราย.
เป็นพระอรหันต์ ' มีอยู่มาก. เราไม่รู้จักพระอรหันต์แม้สักองค์หนึ่ง; เรา
จักให้ประกอบเครื่องกลึงไว้ในเรือน ให้กลึงบาตรแล้ว ใส่สาแหรกห้อย
ไว้ในอากาศประมาณ 60 ศอก โดยเอาไม้ไผ่ต่อกันขึ้นไปแล้ว จะบอกว่า
' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่, จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาบาตรนี้; ผู้โคจัก
ถือเอาบาตรนั้นได้ เราพร้อมด้วยบุตรภรรยา จักถึงผู้นั้นเป็นสรณะ. "
เขาให้กลึงบาตรโดยทำนองที่คิดไว้นั่นแหละ ให้ยกขึ้นโดยเอาไม้ไผ่ต่อ ๆ
กันขึ้นไปแล้ว กล่าวว่า " ในโลกนี้ ผู้ใดเป็นพระอรหันต์. ผู้นั้นจงมา
ทางอากาศ ถือเอาบาตรนี้. "
ครูทั้ง 6 อยากได้บาตรไม้จันทน์
ครูทั้งหกกล่าวว่า " บาตรนั้น สมควรแก่พวกข้าพเจ้า. ท่านจง
ให้บาตรนั้นแก่พวกข้าพเจ้าเสียเถิด. " เศรษฐีนั้นกล่าวว่า " พวกท่าน
จลมาทางอากาศแล้วเอาไปเถิด. "
ในวันที่ 6 นิครนถ์นาฎบุตรส่งพวกอันเตวาสิกไปด้วยสั่งว่า " พวก
เจ้าจงไป. จงพูดกะเศรษฐีอย่างนั้นว่า " บาตรนั่น สมควรแก่อาจารย์ของ
พวกข้าพเจ้า. ท่านอย่าทำการมาทางอากาศเพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย
เลย. นัยว่า ท่านจงให้บาตรนั่นเถิด. " พวกอันเตวาสิกไปพูดกะเศรษฐี
อย่างนั้นแล้ว. เศรษฐีกล่าวว่า " ผู้ที่สามารถมาทางอากาศแล้วถือเอาได้
เท่านั้น จงเอาไป. "
นาฏบุตรออกอุบายเอาบาตร
นาฏบุตรเป็นผู้ปรารถนาจะไปเอง จึงได้ให้สัญญาแก่พวกอันเต-
วาสิกว่า " เราจักยกมือและเท้าข้างหนึ่ง เป็นทีว่าปรารถนาจะเหาะ,
พวกเจ้าจงร้องบอกเราว่า " ท่านอาจารย์ ท่านจะทำอะไร ? ท่านอย่าแสดง
ความเป็นพระอรหันต์ที่ปกปิดไว้ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ แก่มหาชนเลย '
ดังนี้แล้ว จงพากันจับเราที่มือและเท้าดึงไว้ ให้ล้มลงที่พื้นดิน. " เขาไป
ในที่นั้นแล้ว กล่าวกะเศรษฐีว่า " มหาเศรษฐี บาตรนี้สมควรแก่เรา.
ไม่สมควรแก่ชนพวกอื่น. ท่านอย่าชอบใจการเหาะขึ้นไปในอากาศของเรา
เพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย. จงให้บาตรแก่เราเถิด. "
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด.
ลำดับนั้น นาฏบุตรกล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงหลีกไป ๆ "
กันพวกอันเตวาสิกออกไปแล้ว กล่าวว่า " เราจักเหาะขึ้นไปในอากาศ
ดังนี้แล้ว ก็ยกมือและเท้าขึ้นข้างหนึ่ง. ทีนั้น พวกอันเตวาสิกกล่าวกับ
อาจารย์ว่า " ท่านอาจารย์ ท่านจะทำชื่ออะไรกันนั่น ? ประโยชน์อะไร
ด้วยคุณที่ปกปิดไว้ อันท่านแสดงแก่มหาชน เพราะเหตุแห่งบาตรไม้นี้ "
แล้วช่วยกันจับนาฏบุตรนั้นที่มือและเท้า ดึงมาให้ล้มลงแผ่นดิน. เขา
บอกกะเศรษฐีว่า " มหาเศรษฐี อันเตวาสิกเหล่านี้ ไม่ให้เหาะ, ท่าน
จงให้บาตรแก่เรา. "
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปถือเอาเถิด.
พวกเดียรถีย์ เเม้พยายามด้วยอาการอย่างนั้นสิ้น 6 วันแล้ว ยังไม่
ได้บาตรนั้นเลย.
ชาวกรุงเข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์
ในวันที่ 7 ในกาลที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระปิณโฑล-
ภารทวาชะไปยืนบนหินดาดแห่งหนึ่งแล้วห่มจีวร ด้วยตั้งใจว่า " จักเที่ยว
ไปเพื่อบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พวกนักเลงคุยกันว่า " ชาวเราเอ๋ย ใน
กาลก่อน ครูทั้ง 6 กล่าวว่า ' พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก. ก็เมื่อเศรษฐี
ชาวกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรขึ้นไว้แล้วกล่าวว่า ' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่,
จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด' วันนี้เป็นวันที่ 7 แม้สักคนหนึ่งชื่อว่า
เหาะขึ้นไปในอากาศด้วยแสดงตนว่า ' เราเป็นพระอรหันต์ ' ก็ไม่มี; วันนี้
พวกเรารู้ความที่พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว. "
ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า " อาวุโส ภารทวาชะ ท่านได้ยินถ้อยคำของ
พวกนักเลงเหล่านั้นไหม " พวกนักเลงเหล่านี้ พูดเป็นทีว่าจะย่ำยีพระพุทธ-
ศาสนา; ก็ท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก, ท่านจงไปเถิด จงมาทางอากาศ
แล้วถือเอาบาตรนั้น. "
ปิณโฑลภารทวาชะ. อาวุโส โมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าบรรดา
สาวกผู้มีฤทธิ์ ท่านจงถือเอาบาตรนั้น. แต่เมื่อท่านไม่ถือเอา ผมจักถือเอา.
พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์
เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนั้นว่า " ท่านจงถือเอาเถิดผู้มี
อายุ " ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าจตุตถฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ออก
แล้ว เอาปลายเท้าคีบหินดาดประมาณ 1 คาวุต ให้ขึ้นไปในอากาศเหมือน
ปุยนุ่น แล้วหมุนเวียนไปในเบื้องบนพระนครราชคฤห์ 7 ครั้ง. หินดาด
นั้นปรากฏดังฝาละมีสำหรับปิดพระนครไว้ประมาณ 3 คาวุต. พวกชาว
พระนครกลัว ร้องว่า " หินจะตกทับข้าพเจ้า " จึงทำเครื่องกั้นมีกระด้ง
เป็นต้นไว้บนกระหม่อม แล้วซุกซ่อนในที่นั้น ๆ. ในวาระที่ 7 พระ-
เถระทำลายหินดาด แสดงตนแล้ว.
มหาชนเห็นพระเถระแล้ว กล่าวว่า " ท่านปิณโฑลภารทวาชะผู้
เจริญ ท่านจงจับหินของท่านไว้ให้มั่น, อย่าให้พวกข้าพเจ้าทั้งหมด
พินาศเสียเลย. "
พระเถระเอาปลายเท้าเหวี่ยงหินทิ้งไป. แผ่นหินนั้นไปตั้งอยู่ในที่
เดิมนั่นเอง. พระเถระได้ยืนอยู่ในที่สุดแห่งเรือนของเศรษฐี. เศรษฐีเห็น
ท่านแล้ว หมอบลงแล้ว กราบเรียนว่า " ลงเถิด พระผู้เป็นเจ้า " นิมนต์
พระเถระผู้ลงจากอากาศให้นั่งแล้ว. ให้นำบาตรลง กระทำให้เต็มด้วยวัตถุ
อันมีรสหวาน 4 อย่างแล้ว ได้ถวายแก่พระเถระ. พระเถระรับบาตรแล้ว
บ่ายหน้าสู่วิหาร ไปแล้ว.
ลำดับนั้น ชนเหล่าใดที่อยู่ในป่าบ้าง อยู่ในบ้านบ้าง ไม่เห็น
ปาฏิหาริย์ของพระเถระ, ชนเหล่านั้นประชุมกันแล้ววิงวอนพระเถระว่า
" ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงปาฏิหาริย์แม้แก่พวกผม " ดังนี้แล้ว
ก็พากันติดตามพระเถระไป. พระเถระนั้น แสดงปาฏิหาริย์แก่ชนเหล่า
นั้น ๆ พลางได้ไปยังพระวิหารแล้ว.
พระศาสดาทรงห้ามไม่ให้ภิกษุทำปาฏิหาริย์
พระศาสดา ทรงสดับเสียงมหาชนที่ติดตามพระเถระนั้นอื้ออึงอยู่
จึงตรัสถามว่า " อานนท์ นั่นเสียงใคร " ทรงสดับว่า " พระเจ้าข้า
พระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปในอากาศแล้ว ถือเอาบาตรไม้จันทน์,
นั่นเสียงในสำนักของท่าน " จึงรับสั่งให้เรียกพระปิณโฑลภารทวาชะมา
ตรัสถามว่า " ได้ยินว่า เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ " เมื่อท่านกราบทูลว่า
" จริง พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " ภารทวาชะ ทำไม เธอจึงทำอย่างนั้น ? "
ทรงติเตียนพระเถระ แล้วรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้น ให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่
แล้ว รับสั่งให้ประทานแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่อันบดผสมยาตา
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการไม่ให้ทำ
ปาฏิหาริย์. ฝ่ายพวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ทราบว่า พระสมณโคดมให้ทำลาย
บาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้ทำ
ปาฏิหาริย์ " จึงเที่ยวบอกกันในถนนในพระนครว่า " สาวกทั้งหลายของ
พระสมณโคดม ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.
ถึงพระสมณโคดมก็จักรักษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเหมือนกัน. บัดนี้
พวกเรา ได้โอกาสแล้ว " แล้วกล่าวว่า " พวกเรารักษาคุณของตน จึง
ไม่แสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตรไว้ในกาลก่อน เหล่า
สาวกของพระสมณโคดมแสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตร.
พระสมณโคดมรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่า
สาวก เพราะพระองค์เป็นบัณฑิต. บัดนี้ พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับพระ-
สมณโคดมนั่นแล. "
พระศาสดาทรงประสงค์จะทำปาฏิหาริย์
พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว เสด็จไปยังสำนักพระ-
ศาสดา กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ได้ทราบว่าพระองค์ทรงบัญญัติสิกขา-
บทแก่เหล่าสาวก เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์เสียแล้วหรือ ? "
พระศาสดา. ขอถวายพระพร มหาบพิตร.
พระราชา. บัดนี้ พวกเดียรถีย์พากันกล่าวว่า ' พวกเราจักทำ
ปาฏิหาริย์กับด้วยพระองค์.' บัดนี้ พระองค์จักทรงทำอย่างไร ?
พระศาสดา. เมื่อเดียรถีย์เหล่านั้นกระทำ อาตมภาพก็จักกระทำ
มหาบพิตร.
พระราชา. พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เเล้วมิใช่หรือ ?
พระศาสดา มหาบพิตร อาตมภาพมิได้บัญญัติสิกขาบทเพื่อตน.
สิกขาบทนั้นนั่นแล อาตมภาพบัญญัติไว้เพื่อสาวกทั้งหลาย.
พระราชา. สิกขาบท เป็นอันชื่อว่าอันพระองค์ทรงบัญญัติในสาวก
ทั้งหลายอื่น เว้นพระองค์เสียหรือ ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. มหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักย้อนถามพระองค์
นั่นแหละในเพราะเรื่องนี้, มหาบพิตร ก็พระอุทยานในแว่นแคว้นของ
พระองค์มีอยู่หรือ ?
พระราชา. มี พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. มหาบพิตร ถ้าว่ามหาชนพึงบริโภคผลไม้ เป็นต้นว่า
ผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์, พระองค์พึงทรงทำอย่างไร แก่เขา ?
พระราชา. พึงลงอาชญา พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ก็พระองค์ย่อมได้เพื่อเสวยหรือ ?
พระราชา. พระเจ้าข้า อาชญาไม่มีแก่หม่อมฉัน, หม่อมฉันย่อม
ได้เพื่อเสวยของ ๆ ตน.
พระศาสดา. มหาบพิตร อาชญาแม้ของอาตมภาพย่อมแผ่ไปใน
แสนโกฏิจักรวาล เหมือนอาชญาของพระองค์ที่แผ่ไปในแว่นแคว้นประ-
มาณ 300 โยชน์. อาชญาไม่มีแก่พระองค์ผู้เสวยผลไม้ทั้งหลาย เป็นต้น
ว่าผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์. แต่มีอยู่แก่ชนเหล่าอื่น. ขึ้นชื่อว่า
การก้าวล่วงบัญญัติ คือ สิกขาบท ย่อมไม่มีแก่ตน, แต่ย่อมมีแก่สาวก
เหล่าอื่น, อาตมภาพจึงจักทำปาฏิหาริย์.
พวกเดียรถีย์ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว ปรึกษากันว่า " บัดนี้ พวกเรา
ฉิบหายแล้ว. ได้ยินว่า พระสมณโคดมทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อเหล่าสาวก
เท่านั้น, ไม่ทรงบัญญัติไว้เพื่อตน; ได้ยินว่า ท่านปรารถนาจะทำปาฏิหาริย์
เองทีเดียว; พวกเราจักทำอย่างไรกันเล่า ? พระราชาทูลถามพระศาสดา
ว่า " เมื่อไร พระองค์จักทรงทำปาฏิหาริย์ ? พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. มหาบพิตร โดยล่วงไปอีก 4 เดือน ต่อจากนี้ไป
วันเพ็ญเดือน 8 จักทำ.
พระราชา. พระองค์จักทรงทำที่ไหน ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. อาตมภาพจักอาศัยเมืองสาวัตถีทำ มหาบพิตร.
มีคำถามสอดเข้ามาว่า " ก็ทำไม พระศาสดาจึงอ้างที่ไกลอย่างนี้ ? "
แก้ว่า " เพราะที่นั้นเป็นสถานที่ทำมหาปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า
ทุก ๆ พระองค์; อีกอย่างหนึ่ง พระองค์อ้างที่ไกลทีเดียว แม้เพื่อ
ประโยชน์จะให้มหาชนประชุมกัน ."
พวกเดียรถีย์ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว กล่าวว่า " ได้ยินว่า ต่อจากนี้
โดยล่วงไป 4 เดือน พระสมณโคดมจักทำปาฏิหาริย์ ณ เมืองสาวัตถี.
บัดนี้ พวกเราไม่ละเทียว จักติดตามพระองค์ไป. มหาชนเห็นพวกเรา
แล้ว จักถามว่า " นี่อะไรกัน ? " ทีนั้นพวกเราจักบอกแก่เขาว่า " พวก
เราพูดไว้เเล้วว่า ่จักทำปาฏิหาริย์กับพระสมณโคดม.' พระสมณโคดม
นั้นย่อมหนีไป, พวกเราไม่ให้พระสมณโคดมนั้นหนีจึงติดตามไป. " พระ-
ศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ออกมาแล้ว. ถึงพวกเดียรถีย์
ก็ออกมาข้างหลังของพระองค์นั่นแล อยู่ใกล้ที่ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ทำภัตกิจ. ในวันรุ่งขึ้นพวกเดียรถีย์บริโภคอาหารเช้าในที่ ๆ ตนอยู่แล้ว.
เดียรถีย์เหล่านั้น ถูกพวกมนุษย์ถามว่า " นี่อะไรกัน ? " จึงบอกโดยนัย
แห่งคำที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. ฝ่ายมหาชนคิดว่า " พวกเราจัก
ดูปาฏิหาริย์ ดังนี้แล้วได้ติดตามไป. พระศาสดาบรรลุถึงพระนครสาวัตถี
โดยลำดับ.
เดียรถีย์เตรียมทำปาฏิหารย์แข่ง
แม้พวกเดียรถีย์ ก็ไปกับพระองค์เหมือนกัน ชักชวนอุปัฏฐากได้
ทรัพย์แสนหนึ่งแล้ว ให้ทำมณฑปด้วยเสาไม้ตะเคียน1 ให้มุงด้วยอุบลเขียว
นั่งพูดกันว่า " พวกเราจักทำปาฏิหาริย์ในที่นี้. "
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูล
ว่า " พวกเดียรถีย์ให้ทำมณฑปแล้ว พระเจ้าข้า แม้ข้าพระองค์จะให้ทำ
มณฑปเพื่อพระองค์. "
พระศาสดา. อย่าเลยมหาบพิตร. ผู้ทำมณฑปของอาตมภาพมี.
พระราชา. คนอื่นใครเล่า เว้นข้าพระองค์เสีย จักอาจทำได้
พระเจ้าข้า ?
พระศาสดา. ท้าวสักกเทวราช.
พระราชา. ก็พระองค์จักทรงทำปาฏิหาริย์ที่ไหนเล่า ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์ มหาบพิตร.
พวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ได้ข่าวว่า พระสมณโคดมจักทำปาฏิหาริย์
ที่ควงไม้มะม่วง " จึงบอกพวกอุปัฏฐากของตน ให้ถอนต้นมะม่วงเล็กๆ
โดยที่สุดแม้งอกในวันนั้น ในที่ระหว่างโยชน์หนึ่ง แล้วให้ทิ้งไปในป่า.
ในวันเพ็ญเดือน 8 พระศาสดาเสด็จเข้าไปภายในพระนคร. ผู้
รักษาสวนของพระราชา ชื่อคัณฑะ เห็นมะม่วงสุกผลใหญ่ผลหนึ่งใน
ระหว่างกลุ่มใบที่มดดำมดแดงทำรังไว้. ไล่กาที่มาชุมนุมด้วยความโลภใน
1. ขทิร ในที่บางแห่งแปลว่า ไม้สะแก.