เมนู

ในบาทพระคาถาว่า ธีโร จ สุขสํวาโส นี้ มีวิเคราะห์ว่า การ
อยู่ร่วมด้วยปราชญ์นั้น เป็นสุข เหตุนั้นจึงชื่อว่า มีการอยู่ร่วมให้เกิดสุข,
อธิบายว่า การอยู่ ณ ที่เดียวกันกับด้วยบัณฑิตให้เกิดสุข.
ถามว่า " การอยู่ร่วมด้วยปราชญ์ ให้เกิดสุขอย่างไร ? " แก้ว่า
" เหมือนสมาคมแห่งหมู่ญาติฉะนั้น, " อธิบายว่า การสมาคมแห่งหมู่ญาติ
อันเป็นที่รักให้เกิดสุขฉันใด ; การอยู่ร่วมด้วยปราชญ์ให้เกิดสุขฉันนั้น.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการอยู่ร่วมกับคนพาลให้เกิดทุกข์,
กับด้วยบัณฑิตให้เกิดสุข; ฉะนั้นแล ท่านทั้งหลายจงคบหา คือว่าเข้าไป
นั่งใกล้ ท่านที่เป็นปราชญ์สมบูรณ์ด้วยปัญญา และผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา
เป็นโลกิยะและโลกุตระ ซึ่งชื่อว่าผู้มีปัญญา และผู้ถึงพร้อมด้วยอาคมและ
อธิคมที่ชื่อว่าพหุสูต ผู้ชื่อว่านำธุระไปเป็นปกติ เพราะความเป็นผู้มีอันนำ
ธุระไปเป็นปกติ คือให้ถึงพระอรหัต ผู้ชื่อว่ามีวัตร เพราะวัตรคือศีล
และวัตรคือธุดงค์ ผู้ชื่อว่าอริยะ เพราะความเป็นผู้ไกลจากกองกิเลส
ผู้สัตบุรุษ ผู้มีปัญญางามเห็นปานนั้น, เหมือนพระจันทร์ซ่องเสพอากาศ
ที่กล่าวกันว่าคลองเเห่งนักขัตฤกษ์ อันไม่มัวหมองฉะนั้น.
ในกาลจบเทศนา คนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้นแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องท้าวสักกะ จบ.
สุขวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ 15 จบ.

คาถาธรรม


ปิยวรรค1ที่ 16


ว่าด้วยสิ่งที่เป็นที่รัก


[26] 1. บุคคลประกอบตนไว้ในสิ่งอันไม่ควรประกอบ
และไม่ประกอบไว้ในสิ่งอันควรประกอบ ละเสียแล้ว
ซึ่งประโยชน์ ถือเอาอารมณ์อันเป็นที่รัก ย่อมทะเยอ
ทะยานต่อบุคคลผู้ตามประกอบตน บุคคลอย่าสมาคม
กับสัตว์และสังขารทั้งหลายอันเป็นที่รัก (และ) ไม่
เป็นที่รักในกาลไหน ๆ (เพราะว่า) การไม่เห็นสัตว์
และสังขารอันเป็นที่รัก และการเห็นสัตว์และสังขาร
อันไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น บุคคลไม่พึง
กระทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก เพราะความพราก
จากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก เป็นการต่ำทราม
กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ของเหล่าบุคคลผู้ไม่มี
อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ย่อมไม่มี.

2. ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก ภัยย่อมเกิด
แต่ของที่รัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้องได้
จากของที่รัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน.

3. ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิด
แต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจาก
ความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน.

1. วรรคนี้ มีอรรถกถา 9 เรื่อง.

4. ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อม
เกิดแต่ความยินดี ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษ
แล้วจากความยินดี ภัยจักมีแต่ที่ไหน

5. ความโศกย่อมเกิดแต่กาม ภัยย่อมเกิดแต่
กาม ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจาก
กาม ภัยมีภัยแต่ที่ไหน.

6. ความโศกย่อมเกิดเพราะตัณหา ภัยย่อมเกิด
เพราะตัณหา ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้ว
จากตัณหา ภัยจักมีแต่ที่ไหน.

7. ชนย่อมทำท่านผู้สนบูรณ์ด้วยศีลและทัสสนะ
ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้มีปกติกล่าวแต่วาจาสัตย์ ผู้กระทำ
การงานของตนนั้นให้เป็นที่รัก.

8. ภิกษุผู้มีฉันทะเกิดแล้ว ในพระนิพพาน
อันใคร ๆ บอกไม่ได้ พึงเป็นผู้อันใจถูกต้องแล้วก็ดี
ผู้มีจิตไม่เกาะเกี่ยวในกามทั้งหลายก็ดี ท่านเรียกว่า
ผู้มีกระแสในเบื้องบน.

9. ญาติ มิตร และคนมีใจดีทั้งหลาย เห็นบุรุษ
ผู้ไปอยู่ต่างถิ่นมานาน มาแล้วแต่ที่ไกลโดยสวัสดี
ย่อมยินดียิ่งว่ามาแล้ว ฉันใด บุญทั้งหลายก็ย่อม
ต้อนรับแม้บุคคลผู้กระทำบุญไว้ ซึ่งจากโลกนี้สู่โลก
หน้า ดุจพวกญาติเห็นญาติที่รักมาแล้วต้อนรับอยู่
ฉันนั้น.

จบปิยวรรคที่ 16

16. ปิยวรรควรรณนา


1. เรื่องบรรพชิต 3 รูป [165]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบรรพชิต
3 รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อโยเค ยุญฺชมตฺตานํ " เป็นต้น

ตระกูลที่มีลูกชายคนเดียวและหนีไปบวช


ได้ยินว่า มารดาบิดาในตระกูล ในกรุงสาวัตถี ได้มีบุตรน้อย
คนเดียวเท่านั้น เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ. วันหนึ่งบุตรน้อยนั้นฟังธรรมกถา
ของพวกภิกษุที่นิมนต์มาในเรือน ทำอนุโมทนาอยู่ อยากจะบวช จึงขอ
บวชกะมารดาบิดา. มารดาบิดาเหล่านั้นไม่อนุญาต ครั้งนั้นเขาได้มีความ
คิดขึ้นว่า " เมื่อมารดาบิดาไม่เห็นนั่นแล เราจัก (ออก) ไปข้างนอก
แล้วบวชเสีย, " ต่อมา บิดาของเขาเมื่อจะออกไปข้างนอก ได้มอบหมาย
กะมารดาว่า " เธอพึงรักษาบุตรน้อยนี้, " มารดาเมื่อจะออกไปข้างนอก
ก็มอบหมายกะบิดา (เช่นกัน).
ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อบิดาของเขาไปข้างนอก มารดาตั้งใจว่า
" จักรักษาบุตร " พิงบานประตูข้างหนึ่ง (อีก) ข้างหนึ่งเอาเท้าทั้งสอง
ยันไว้แล้ว นั่งลงที่แผ่นดินปั่นด้ายอยู่.
เขาคิดว่า " เราจักลวงมารดานี้ แล้ว (หนี) ไป " ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
" แม่จ๋า หลีกฉันหน่อยก่อนเถิด, ฉันจักถ่ายอุจจาระ " ครั้นมารดานั้น
หดเท้าแล้ว, ก็ออกไปสู่วิหารโดยเร็ว เข้าไปหาภิกษุทั้งหลาย อ้อนวอนว่า

" ท่านผู้เจริญ ขอท่านบวชให้ผมเถิด " แล้วบรรพชาในสำนักของภิกษุ
เหล่านั้น.

บิดาออกบวชตามบุตร


ลำดับนั้น บิดาของเขา (กลับ) มาแล้ว ถามมารดาว่า " ลูกของ
เราไปไหน ? " มารดาตอบว่า " นาย เมื่อกี้นี้อยู่ที่นี่ " บิดานั้นก็ค้นดู
เพื่อรู้ว่า " บุตรของเราอยู่ที่ไหนหนอแล ? " ไม่เห็นเขาแล้ว " คิดว่า
ลูกของเราจักไปวิหาร " จึงไปสู่วิหารแล้ว เห็นบุตรบวชแล้ว คร่ำครวญ
ร้องไห้แล้ว กล่าวว่า " พ่อ ทำไมเจ้าจึงทำให้เราพินาศ ? " ดังนี้แล้ว
คิดว่า " ก็เมื่อบุตรของเราบวชแล้ว บัดนี้ เราจักทำอะไรในเรือน "
ดังนี้ ตนเองก็บวชแล้วในสำนักของภิกษุทั้งหลาย.

มารดาออกบวชตามบุตรและสามี


ลำดับนั้น มารดาของเขาคิดว่า " ทำไมหนอ ลูกและผัวของเรา
จึงชักช้าอยู่, จักไปวิหารบวชเสียแล้วกระมัง ? " มองหาชนทั้งสองนั้น
พลางไปวิหารเห็นชนแม้ทั้งสองบวชแล้ว คิดว่า " ประโยชน์อะไร ด้วย
เรือนของเรา ในกาลแห่งชนทั้งสองนี้บวชแล้ว ? " แม้ตนเอง ก็ไปสู่
สำนักภิกษุณี บวชแล้ว.

ชนทั้งสามแม้บวชก็ยังคลุกคลีกัน


ชนทั้งสามนั้นแม้บวชแล้ว ก็ไม่อาจแยกกันอยู่ได้. นั่งสนทนา
รวมกันเทียว ปล่อยวันให้ล่วงไปทั้งในวิหาร ทั้งในสำนักภิกษุณี. เหตุนั้น
ทั้งพวกภิกษุ ทั้งพวกภิกษุณี จึงเป็นอันถูกเบียดเบียนแล้ว. ต่อมาวันหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลการกระทำของชนทั้งสามนั้น แด่พระศาสดา.

พระศาสดาตรัสเรียกมาเตือน


พระศาสดา รับสั่งให้เรียกชนทั้งสามนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า
" ได้ยินว่า พวกเธอทำอย่างนั้นจริงหรือ ? " เมื่อชนเหล่านั้นทูลว่า " จริง
พระเจ้าข้า, " ตรัสถามว่า " ทำไม พวกเธอจึงทำอย่างนั้น ? เพราะว่า
นั่นไม่ใช่ความเพียรของพวกบรรพชิต. "
ชนทั้งสามกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่
แยกกัน." พระศาสดาตรัสว่า " ชื่อว่าการทำอย่างนั้น จำเดิมแต่กาลแห่งตน
บวชแล้ว ไม่ควร, เพราะว่า การไม่เห็นสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก และ
การเห็นสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์โดยแท้; เหตุนั้น การ
ทำบรรดาสัตว์และสังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เป็นที่รัก หรือไม่
ให้เป็นที่รัก ย่อมไม่สมควร " ดังนี้แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
1. อโยเค ยุญฺชมตฺตานํ โยคสฺมิญฺจ อโยชยํ
อตฺถํ หิตฺวา ปิยคฺคาหี ปิเหตตฺตานุโยคินํ.
มา ปิเยหิ สมาคญฺฉิ อปฺปิเยหิ กุทาจนํ
ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ
ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ ปิยาปาโย หิ ปาปโก
คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ เยสํ นตฺถิ ปิยาปฺปิยํ.
" บุคคล ประกอบตนไว้ในสิ่งอันไม่ควรประกอบ
และไม่ประกอบไว้ในสิ่งอันควรประกอบ ละเสียแล้ว
ซึ่งประโยชน์ ถือเอาอารมณ์อันเป็นที่รัก ย่อมทะเยอ
ทะยาน ต่อบุคคลผู้ตามประกอบตน, บุคคลอย่า
สมาคมกับสัตว์และสังขารทั้งหลาย อันเป็นที่รัก

(และ)อันไม่เป็นที่รักในกาลไหน ๆ, (เพราะว่า) การ
ไม่เห็นสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก และการเห็นสัตว์
และสังขารอันไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์; เพราะเหตุนั้น
บุคคลไม่พึงกระทำสัตว์หรือสังขาร ให้เป็นที่รัก.
เพราะความพรากจากสัตว์ และสังขารอันเป็นที่รักเป็น
การต่ำทราม. กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ของ
เหล่าบุคคลผู้ไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รัก และไม่เป็นที่รัก
ย่อมไม่มี."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโยเค ความว่า ในสิ่งอันไม่ควรประกอบ
คือการทำในใจโดยไม่แยบคาย. อธิบายว่า ก็การเสพอโคจร 6 อย่าง
ต่างโดยอโคจรมีอโคจรคือหญิงแพศยาเป็นต้น ชื่อว่าการทำในใจโดยไม่
แยบคายในที่นี้. บุคคลประกอบตนในการทำในใจโดยไม่แยบคายนั้น.
บทว่า โยคสฺมึ ความว่า และไม่ประกอบ (ตน)ในโยนิโสมนสิการ
อันผิดแผกจากอโยนิโสมนสิการนั้น.
สองบทว่า อตฺถํ หิตฺวา ความว่า หมวด 3 แห่งสิกขามีอธิสีลสิกขา
เป็นต้น จำเดิมแต่กาล [แห่งตน] บวชแล้ว ชื่อว่าประโยชน์. ละเสียแล้ว
ซึ่งประโยชน์นั้น.
บทว่า ปิยคฺคาหี ความว่า ถือเอาอยู่ซึ่งอารมณ์อันเป็นที่รักกล่าว
คือกามคุณ 5 เท่านั้น.
บทว่า ปิเหตตฺตานุโยคินํ ความว่า บุคคลเคลื่อนแล้วจากศาสนา
เพราะความปฏิบัตินั้น ถึงความเป็นคฤหัสถ์แล้ว ภายหลังย่อมทะเยอทะยาน