ผอมเหลือง, ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรถามเธอว่า " นี่อะไรกัน ?
เมื่อเธอตอบว่า " ผมเป็นผู้กระสัน " จึงพากันเรียนแก่อาจารย์และ
อุปัชฌาย์. ทีนั้นอาจารย์และอุปัชฌาย์เหล่านั้น จึงนำเธอไปยังสำนักของ
พระศาสดา แสดงแด่พระศาสดาแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ ? " เมื่อ
เธอกราบทูลรับว่า " อย่างนั้น พระเจ้าข้า " ตรัสว่า " เพราะเหตุไร ?
เธอจึงได้ทำอย่างนั้น. ก็อะไร ๆที่เป็นปัจจัยแห่งการเลี้ยงชีพของเธอมีอยู่
หรือ ?"
ภิกษุ. มี พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. อะไร ? ของเธอมีอยู่.
ภิกษุ. กหาปณะ 100 พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ถ้ากระนั้น เธอจงนำก้อนกรวดมา แม้เพียงเล็กน้อย
ก่อน. เธอลองนับดูก็จักรู้ได้ว่า ' เธออาจเลี้ยงชีวิตได้ด้วยกหาปณะจำนวน
เท่านั้นหรือ. หรือไม่อาจเลี้ยงชีวิตได้.'
ภิกษุหนุ่มนั้น จึงนำก้อนกรวดมา.
ความอยากให้เต็มได้ยาก
ทีนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะเธอว่า " เธอจงตั้งไว้ 50 เพื่อประโยชน์
แก่เครื่องบริโภคก่อน, ตั้งไว้ 28 เพื่อประโยชน์แก่โค 2 ตัว, ตั้งไว้ชื่อ
มีประมาณเท่านี้ เพื่อประโยชน์แก่พืช, เพื่อประโยชน์แก่แอกและไถ,
เพื่อประโยชน์แก่จอบ, เพื่อประโยชน์เเก่พร้าและขวาน. " เมื่อเธอนับ
อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ กหาปณะ 100 นั้น ย่อมไม่เพียงพอ. ครั้งนั้น
พระศาสดาจึงตรัสกะเธอว่า " ภิกษุ กหาปณะของเธอมีน้อยนัก, เธออาศัย
กหาปณะเหล่านั้น จักให้ความทะยานอยากเต็มขึ้นได้อย่างไร ? ได้ยินว่า
ในอดีตกาล บัณฑิตทั้งหลายครองจักรพรรดิราชสมบัติ สามารถจะยัง
ฝนคือรัตนะ 7 ประการให้ตกลงมาเพียงสะเอวในที่ประมาณ 12 โยชน์
ด้วยอาการสักว่าปรบมือ แม้ครองราชสมบัติในเทวโลก ตลอดกาลที่
ท้าวสักกะ 36 พระองค์จุติไป ในเวลาตาย (ก็) ไม่ยังความอยากให้เต็ม
ได้เลย ได้ทำกาละแล้ว " อันภิกษุนั้นทูลวิงวอนแล้ว ทรงนำอดีตนิทาน
มา ยังมันธาตุราชชาดก1ให้พิสดารแล้ว ในลำดับแห่งพระคาถานี้ว่า :-
" พระจันทร์และพระอาทิตย์ (ย่อมหมุนเวียนไป)
ส่องทิศให้สว่างไสวอยู่กำหนดเพียงใด, สัตว์ทั้งหลาย
ผู้อาศัยแผ่นดินทั้งหมดเทียว ย่อมเป็นทาสของพระ-
เจ้ามันธาตุราชกำหนดเพียงนั้น."
ได้ทรงภาษิต 2 พระคาถานี้ว่า :-
5. น กหาปณวสฺเสน ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ
อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต
อปิ ทิพฺเพสุ กาเมสุ รตึ โส นาธิคจฺฉติ
ตณฺหกฺขยรโต โหติ สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก.
" ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มีเพราะฝน
คือกหาปณะ, กามทั้งหลาย มีรสอร่อยน้อย ทุกข์
มาก บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้แล้ว ย่อมไม่ถึงความยินดีใน
1. ขุ. ชา. 27/200. อรรถกถา. 2/47.
กามทั้งหลายแม้ที่เป็นทิพย์, พระสาวกของพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กหาปณวสฺเสน ความว่า บัณฑิตนั้น
ปรบมือแล้ว ยังฝนคือรัตนะ 7 ประการให้ตกลงได้, ฝนคือรัตนะ 7
ประการนั้น ตรัสให้ชื่อว่า กหาปณวสฺสํ ในพระคาถานี้, ก็ขึ้นชื่อว่า
ความอิ่มในวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมไม่มี แม้เพราะฝนคือรัตนะทั้ง 7
ประการนั้น; ความทะยานอยากนั่น เต็มได้ยากด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า อปฺปสฺสาทา คือ ชื่อว่ามีสุขนิดหน่อย เพราะค่าที่กามมี
อุปมาเหมือนความฝันเป็นต้น.
บทว่า ทุกฺขา คือ ชื่อว่ามีทุกข์มากแท้ ด้วยสามารถแห่งทุกข์อัน
มาในทุกขักขันธสูตร1เป็นต้น.
บทว่า อิติ วิญฺญาย คือ รู้กามทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยอาการ
อย่างนี้.
บทว่า อปิ ทิพฺเพสุ ความว่า ก็ถ้าใคร ๆ พึงเธอเชิญด้วยกามอัน
เข้าไปสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย. ถึงอย่างนั้นท่านย่อมไม่ประสบความยินดี
ในกามเหล่านั้นเลย เหมือนท่านพระสมิทธิ ที่ถูกเทวดาเธอเชื้อเชิญฉะนั้น.
บทว่า ตณฺหกฺขยรโต ความว่า เป็นผู้ยินดียิ่ง ในพระอรหัตและ
ในพระนิพพาน คือปรารถนาพระอรหัตและพระนิพพานอยู่.
1. ม. มู. มหาทุกขักขันธสูตร 12/166. จูฬทุกขักขันธสูตร 12/179.
ภิกษุโยคาวจรผู้เกิดในที่สุดแห่งการฟังธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ชื่อว่าพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. เทศนาได้มี
ประโยชน์แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุผู้ไม่ยินดี จบ.
6. เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัต. [153]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา (เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน) ประทับนั่งบนกอง
ทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ชื่ออัคคิทัต ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ว่า " พหุํ เว สรณํ ยนฺติ " เป็นต้น.
อัคคิทัตได้เป็นปุโรหิตถึง 2 รัชกาล
ดังได้สดับมา อัคคิทัตนั้น ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล.
ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงพระนามว่า ปเสนทิโกศล
ทรงดำริว่า " ผู้นี้เป็นปุโรหิตแห่งพระชนกของเรา " จึงตั้งเขาไว้ใน
ตำแหน่งนั้นนั่นแล ด้วยความเคารพ ในเวลาเขามาสู่ที่บำรุงของพระองค์
ทรงทำการเสด็จลุกรับ. รับสั่งให้พระราชทานอาสนะเสมอกัน ด้วยพระ-
ดำรัสว่า " อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้. "
อัคคิทัตออกบวชนอกพระพุทธศาสนา
อัคคิทัตนั้น คิดว่า " พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่าง
เหลือเกิน, แต่เราก็ไม่อาจเอาใจของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาลเป็น
นิตย์เทียว; อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย, ชื่อว่าความเป็นพระ-
ราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแล เป็นเหตุให้เกิดสุข; ส่วนเราเป็นคน
แก่, เราควรบวช " เขากราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชา-
นุญาตการบรรพชาแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์
ของตนทั้งหมดในเพราะการให้ทานเป็นใหญ่ตลอด 7 วันแล้ว บวชเป็น
นักบวชภายนอก. บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัต
นั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้น
มคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน) ให้โอวาทนี้ว่า " พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอ
ทั้งหลาย ผู้ใดมีกามวิตกเป็นต้น เกิดขึ้น, ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่ง ๆ
จากแม่น้ำ (มา) เกลี่ยลง ณ ที่นี้. " พวกนักบวชเหล่านั้นรับว่า " ดีละ " ใน
เวลากามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำอย่างนั้น. โดยสมัยอื่นอีก ได้มีกอง
ทรายใหญ่แล้ว. นาคราชชื่อ อหิฉัตตะ หวงแหนกองทรายใหญ่นั้น. ชาว
อังคะ มคธะ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไป ถวาย
ทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆเดือน.
อัคคิทัตสอนประชาชนให้ถึงสรณะ
ครั้งนั้น อัคคิทัตได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้น ดังนี้ว่า " พวกท่าน
จงถึงภูเขาเป็นสรณะ, จงถึงป่าเป็นสรณะ, จงถึงอารามเป็นสรณะ, จงถึง
ต้นไม้เป็นสรณะ; พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้ "
กล่าวสอนแม้ซึ่งอันเตวาสิกของตน ด้วยโอวาทนี้เหมือนกัน.
พระมหาโมคคัลลนะไปทรมานอัคคิทัต
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรลุสัมมา-
สัมโพธิแล้ว ในสมัยนั้น ทรงอาศัยกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวัน.
ในเวลาจวนรุ่งทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอัคคิทัตพราหมณ์พร้อมด้วย
อันเตวาสิก ผู้เข้าไปภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์แล้ว ทรงทราบ
ว่า " ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต "
ในตอนเย็น ตรัสกะพระมหาโมคคัลลานเถระว่า " โมคคัลลานะ เธอเห็น
อัคคิทัตพราหมณ์ผู้ยังมหาชนให้เเล่นไปโดยทางไม่ใช่ท่าไหม ? เธอจงไป,
ให้โอวาทแก่มหาชนเหล่านั้น. "
พระเถระ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นเป็นอันมาก ข้าพระ-
องค์ผู้เดียวพึงข่มขี่ไม่ได้ ถ้าแม้พระองค์จักเสด็จมาไซร้. ชนเหล่านั้นจัก
เป็นอันพึงข่มขี่ได้.
พระศาสดา. โมคคัลลานะ แม้เราก็จักมา. เธอจงล่วงหน้าไป
ก่อน.
พระเถระ กำลังเดินไปเทียว พลางคิดว่า " ชนเหล่านั้น ทั้งมีกำลัง
ทั้งมีมาก, ถ้าเราจักพูดอะไรๆในที่ประชุมของชนทั้งปวงไซร้; ชนแม้
ทั้งหมดพึงลุกขึ้น โดยความเป็นพวกๆ กัน " ยังฝนมีเม็ดหยาบให้ตกลง
แล้ว ด้วยอานุภาพของตน. ชนเหล่านั้น เมื่อฝนมีเม็ดหยาบตกอยู่, ต่าง
ก็ลุกขึ้นแล้ว ๆเข้าไปยังบรรณศาลาของตน ๆ. พระเถระยืนอยู่ที่ประตู
บรรณาศาลาของอัคคิทัตกล่าวว่า อัคคิทัต. เขาได้ยินเสียงของพระเถระ
แล้ว กล่าวว่า " นั่นเป็นใคร ? " เพราะความเป็นผู้กระด้างเพราะมานะว่า
" ในโลกนี้ใคร ๆชื่อว่าผู้สามารถเรียกเราโดย (ออก) ชื่อ ไม่มี, ใคร
หนอแล ? เรียกเราโดย (ออก) ชื่อ. "
พระเถระ. ข้าพเจ้า พราหมณ์.
อัคคิทัต. ท่านพูดอะไร ?
พระเถระ. ขอท่านจงบอกสถานที่พักอยู่ในที่นี้แก่ข้าพเจ้าสิ้นคืน
หนึ่ง ในวันนี้.
อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ในที่นี้ ไม่มี, บรรณาศาลาหลังหนึ่งก็สำหรับ
คนหนึ่งเท่านั้น.
พระเถระ. อัคคิทัต ธรรมดาพวกมนุษย์ ย่อมไปสู่สำนักของพวก
มนุษย์. พวกโคก็ไปสู่สำนักของโค พวกบรรพชิตก็ไปสู่สำนักของพวก
บรรพชิต, ท่านอย่าทำอย่างนั้น, ขอจงให้ที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า.
อัคคิทัต. ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ ?
พระเถระ. เออ ข้าพเจ้าเป็นบรรพชิต.
อัคคิทัต. ถ้าท่านเป็นบรรพชิตไซร้. สิ่งของคือสาแหรกบริขารแห่ง
บรรพชิต ของท่านอยู่ไหน ?
พระเถระ. บริขารของข้าพเจ้ามีอยู่. ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ' ก็การถือ
บริขารนั้นเป็นแผนก เที่ยวไป ลำบาก ' ดังนี้แล้ว จึงถือบริขารนั้นไว้
โดยภายในนั้นแลเที่ยวไป พราหมณ์. "
พราหมณ์นั้นโกรธพระเถระว่า " ท่านจักถือบริขารนั้นเที่ยวไป
หรือ ? " ลำดับนั้น พระเถระจึงพูดกะเขาว่า " (จงหลีกไป) อัคคิทัต
ท่านอย่าโกรธ (ข้าพเจ้า). จงบอกสถานที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า. "
อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ที่นี้ไม่มี.
พระเถระ. ก็ใคร ? อยู่บนกองทรายนั่น.
อัคคิทัต. นาคราชตัวหนึ่ง.
พระเถระ. ท่านจงให้ที่นั้น แก่ข้าพเจ้า.
อัคคิทัต. ข้าพเจ้าไม่อาจให้ได้. กรรมของนาคราชนั่นร้ายกาจ.
พระเถระ. ช่างเถอะ, ขอท่านจงให้แก่เราเถิด.
อัคคิทัต. ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรู้เองเถิด.
พระเถระผจญกับนาคราช
พระเถระ ผินหน้าตรงกองทรายไปแล้ว. นาคราชเห็นพระเถระ
นั้นมา จึงดำริว่า " พระสมณะนี้มาข้างนี้, เห็นจะไม่ทราบความที่เรามีอยู่;