เมนู

สิกขาบทวิภังค์


[431] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่าที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า ที่อาศัยแห่งภิกษุณี ได้แก่ สถานเป็นที่พักแรมของพวก
ภิกษุณี แม้เพียงคืนเดียว.
บทว่า เข้าไป คือ ไปในสถานที่นั้น.
ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ 2 ฝ่าย.
บทว่า สั่งสอน ความว่า ภิกษุกล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 ประการ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นสมัย.
ที่ชื่อว่า ภิกษุณีอาพาธ ได้แก่ ภิกษุณีไม่สามารถจะไปรับโอวาท
หรือไปร่วมประชุมได้.

บทภาชนีย์


ติกปาจิตตีย์


[432] อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบันภิกษุณี เข้าไปสู่
ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณี ภิกษุสงสัย เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้น ไว้แต่
สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบันภิกษุณี เข้าไปสู่ที่อาศัย
แห่งภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

จตุกกทุกกฏ


ภิกษุสั่งสอนด้วยธรรมอย่างอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุสั่งสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบันภิกษุณี. สั่งสอน ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสงสัย ...ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ


อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบันภิกษุณี...ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร


[433] ภิกษุสั่งสอนในสมัย 1 ภิกษุให้อุเทศ 1 ภิกษุให้ปริปุจฉา 1
ภิกษุอันภิกษุณีกล่าวว่า นิมนต์ท่านสวดเถิด เจ้าข้า ดังนี้ สวดอยู่ 1 ภิกษุ
ถามปัญหา 1 ภิกษุถูกถามปัญหาแล้วแก้ 1 ภิกษุสั่งสอนเพื่อประโยชน์แห่ง
ผู้อื่น แต่ภิกษุณีฟังอยู่ด้วย 1 ภิกษุสั่งสอนสิกขมานา 1 ภิกษุสั่งสอนสามเณรี 1
ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 3 จบ

ภิกขุนีวรรคที่ 3


ภิกขุนีอุปสสยสิกขาบทที่ 3


วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 3 พึงทราบดังนี้.
ในคำเป็นต้นว่า อญฺญตฺรสมยา โอวทติ อาปตฺติ ปาจิตฺตยสฺส
เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยครุธรรม 8
เท่านั้น, กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นทุกกฏ.
สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์แท้ แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุสงฆ์. อนึ่ง เบื้องหน้าแต่นี้ไปในที่ทุก ๆ แห่งที่ท่านกล่าวคำว่า เอกโต
อุปสมฺปนฺนาย
ไว้ บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. บทที่เหลือ
ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา 1
ทางวาจากับจิต 1 เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัติวัชชระ
กายกรรม วจีกรรม มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
ภิกขุนีอุปัสสยสิกขาบทที่ 3 จบ

ข้อเบ็ดเตล็ดในสิกขาบทที่ 3


ก็แล ในสิกขาบทที่ 3 นี้ ท่านกล่าวปกิณกะไว้ในมหาปัจจรี ดัง
ต่อไปนี้ ถ้าว่า ภิกษุผู้มีได้รับสมมติ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เข้าไป
สู่สำนักภิกษุณี กล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 เป็นปาจิตตีย์ 3 ตัว. เมื่อสอนด้วย
ธรรมอื่น เป็นทุกกฏ 2 ตัว เป็นปาจิตตีย์ 1 ตัว.

คือ อย่างไร ? คือว่า ทุกกฏ มีการไม่ได้รับสมมติเป็นมูล 1 ทุกกฏ
มีการไปสู่สำนัก ภิกษุณีแล้ว กล่าวสอนด้วยธรรมอินเป็นมูล 1 ปาจิตตีย์ มีการ
กล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสคงคตแล้วเป็นมูล 1. ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อ
พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ไปในสำนักภิกษุณีนั้น กล่าวสอนอยู่ด้วยครุธรรม 8
เป็นอนาบัติ 1 เป็นปาจิตตีย์ 2 ตัว.
คือ อย่างไร ? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะเป็นผู้ได้รับสมมติ, เป็น
ปาจิตตีย์ 2 ตัว คือ ปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว
เป็นมูลตัว 1 ปาจิตตีย์ มีการไปกล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 เป็นมูลตัว 1.
ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นนั่นแล เป็นอนาบัติ 1 เป็นทุกกฏ 1 ตัว เป็น
ปาจิตตีย์ 1 ตัว.
คือ อย่างไร ? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะได้รับสมมติ เป็นทุกกฏ
มีการไปกล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นมูลตัว 1 เป็นปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอน
เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้วเป็นมูลตัว 1. แต่สำหรับภิกษุผู้ได้รับสมมติ และ
ไม่ได้รับสมมติ ไปกล่าวสอนในกลางวัน บัณฑิตพึงชักปาจิตตีย์ ที่มีการ
กล่าวสอนในเวลากลางคืนเป็นมูลออกตัว 1 แล้วทราบอาบัติและอนาบัติที่เหลือ
ฉะนี้แล.

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 4


เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[34] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเถระ
ทั้งหลายสั่งสอนพวกภิกษุณี ย่อมได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน-
ปัจจัยเภสัชบริขาร พระฉัพพัคคีย์พูดกันอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจ
สั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส บรรดาภิกษุที่
มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้พูด
อย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณี
เพราะเห็นแก่อามิส แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ได้ยินว่าพวกเธอพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี
ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้ จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่าน
สั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้เล่า การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว..

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้
ว่าดังนี้

พระบัญญัติ


73. 4. อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า พวกภิกษุสั่งสอน
พวกภิกษุณีเพราะเหตุอามิส เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องพระฉัพพัคคีย์

สิกขาบทวิภังค์


[435] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า เพราะเหตุอามิส คือ เพราะเหตุจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้
การบูชา.
[436] คำว่า กล่าวอย่างนี้ ความว่า ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ
ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอุปสัมบันผู้อันสงฆ์
สมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณีอย่างนี้ คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอน เพราะเหตุ
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ
ความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์


ติกปาจิตตีย์


[437] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม กล่าวอย่างนั้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์

กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย กล่าวอย่างนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม กล่าวอย่างนั้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฏ


[838] ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะ
ทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอุปสัมบันผู้อัน สงฆ์มิได้สมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี
อย่างนั้น คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้
การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[439] ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะ
ทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอนุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติก็ตาม มิได้สมมติก็ตาม ให้
ให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี อย่างนี้ คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอนเพราะเหตุจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ. ความเคารพ ความ
นับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

ติกทุกกฏ


[440] กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม... ต้อง
อาบัติทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย... ต้องอาบัติทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ... ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.

อนาปัตติวาร


[441] ภิกษุผู้กล่าวกะภิกษุผู้สั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ

การกราบไหว้ การบูชา ตามปกติ 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1
ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 4 จบ

ภิกขุนีวรรค อามิสสิกขาบทที่ 4


วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 4 พึงทราบดังนี้
บทว่า น พหุกตา คือ ไม่ทำความทั่งใจ (สอนจริง). อธิบายว่า
ไม่ทำความเคารพมากในธรรมกล่าวสอน. ผู้ศึกษาพึงทราบอรรถแห่งบท
ทั้งหลายว่า ภิกษุโนวาทกํ อวณฺณํ กตฺตุกาโม เป็นต้น โดยนัยดังที่
กล่าวแล้วในอุชฌาปนกสิกขาบทนั่นแล. ภิกษุที่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ หรือสงฆ์
มอบภาระให้ไว้ พึงทราบว่า ชื่อว่า ภิกษุไม่ได้รับสมมติ ในคำว่า อุปสมฺปนฺนํ
สงฺเฆน อสมฺมตํ
นี้.
ส่วนในคำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ วา อสมฺมตํ วา
นี้ ภิกษุผู้ได้รับสมมติในคราวเป็นภิกษุแล้ว ตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณร พึงทราบ
ว่าได้รับสมมติ. สามเณรพหูสูตที่ภิกษุผู้ได้รับสมมติหรือสงฆ์มอบหน้าที่ไว้
พึงทราบว่า ผู้มีได้รับสมมติ. คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้ว.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน 3 เกิดขึ้นทางกายกับจิต 1 ทางวาจากับจิต 1
ทางกายวาจากับจิต 1 เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์สจิตตกะ. โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
อามิสสิกขาบทที่ 4 จบ

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 5


เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง


[442] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุ
รูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตไปตามถนนแห่งหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี แม้ภิกษุณี
รูปหนึ่งก็เที่ยวบิณฑบาตไปในถนนนั้น ครั้งนั้นแล ภิกษุนั้นได้กล่าวคำนี้ กะ
ภิกษุณีรูปนั้นว่า ไปเถิดน้องหญิง ณ สถานที่โน้น มีผู้ถวายภิกษา แม้ภิกษุณี
รูปนั้น ก็กล่าวอย่างนี้ว่า ไปเถิดพระคุณเจ้า ณ สถานที่โน้นมีผู้ถวายภิกษา
ภิกษุและภิกษุณีทั้งสองได้เป็นเพื่อนเห็นกัน เพราะได้พบกันอยู่เนือง ๆ
ก็แลสมัยนั้น พระเจ้าหน้าที่แจกจีวรกำลังแจกจีวรของสงฆ์จึงภิกษุณี
รูปนั้นไปรับโอวาท แล้วเข้าไปหาภิกษุรูปนั้นอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง
ภิกษุรูปนั้นได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีนั้นผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
ดูก่อนน้องหญิง ส่วนจีวรของฉะนั้นเธอจักยินดีหรือไม่
ภิกษุณีรับว่า ยินดี เจ้าข้า เพราะดิฉันมีจีวรเก่า
ภิกษุนั้นได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีนั้น แต่ภิกษุนั้นก็เป็นผู้มีจีวรเก่าอยู่
เหมือนกัน ภิกษุทั้งหลายจึงได้กล่าวกะภิกษุรูปนั้นว่า บัดนี้ ท่านจงเปลี่ยน
จีวรของท่านเถิด ภิกษุรูปนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่
มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ให้จีวรแก่
ภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ...

ทรงสอบถามแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า
เธอได้ให้จีวรแก่ภิกษุณี จริงหรือ.
ภิกษุรูปนั้น ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุ ภิกษุณีนั้นเป็นญาติของเธอหรือมิใช่ญาติ.
ภิ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนโมฆบุรุษ ภิกษุผู้มีใช่ญาติย่อมไม่รู้การกระทำอันสมควร
หรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือไม่มี ของภิกษุณีผู้มีใช่ญาติ ไฉน เธอจึงได้
ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มีใช่ญาติเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อม-
ใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้

พระบัญญัติ


74.5. ก. อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็น
ปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ

เรื่องภิกษุหลายรูป


[443] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่ให้จีวรแลกเปลี่ยนแก่
พวกภิกษุณี ภิกษุณีทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้า

จึงไม่ให้แลกเปลี่ยนแก่พวกเรา ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินภิกษุณีเหล่านั้นเพ่งโทษ
ติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงอนุญาตให้แลกเปลี่ยนจีวร


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูล
นั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้แลกเปลี่ยนแก่สหธรรมิกทั้ง 5 คือ ภิกษุ ภิกษุณี
สิกขมานา สามเณร สามเณรี เราอนุญาตให้แลกเปลี่ยนแก่สหธรรมิก 5 เหล่า
นี้ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้

พระอนุบัญญัติ


74. 5. ข. อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้ไม่ใช่ญาติ
เว้น ไว้แลถเปลี่ยน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุหลายรูป จบ

สิกขาบทวิภังค์


[444] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทาง
บิดาก็ดี ตลาด 7 ชั่วบุรพชนก.