พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระนาง
พระศาสดาทรงดำริว่า " วันนี้ รูปนันทาจักมาที่บำรุงของเรา
ธรรมเทศนาเช่นไรหนอแล ? จักเป็นที่สบายของเธอ " ทรงทำความ
ตกลงพระหฤทัยว่า " รูปนันทานั่น หนักในรูป มีความเยื่อใยในอัตภาพ
อย่างรุนแรง การบรรเทาความเมาในรูปด้วยรูปนั่นแล เป็นที่สบายของ
เธอ ดุจการบ่งหนามด้วยหนามฉะนั้น " ในเวลาที่พระนางเข้าไปสู่วิหาร
ทรงนิรมิตหญิงมีรูปสวยพริ้งผู้หนึ่ง อายุราว 16 ปี นุ่งผ้าแดง ประดับ
แล้วด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง ถือพัด ยืนถวายงานพัดอยู่ในที่ใกล้พระองค์
ด้วยกำลังพระฤทธิ์. ก็แล พระศาสดาและพระนางรูปนันทาเท่านั้น ทรง
เห็นรูปหญิงนั้น. พระนางเสด็จเข้าไปวิหารพร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย ทรง
ยืนข้างหลังพวกภิกษุณี ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่ง
ในระหว่างพวกภิกษุณี ทรงแลดูพระศาสดาตั้งแต่พระบาท ทรงเห็น
พระสรีระของพระศาสดาวิจิตรแล้วด้วยพระลักษณะ รุ่งเรืองด้วยอนุพยัญ-
ชนะ. อันพระรัศมีวาหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงแลดูพระพักตร์อันมีสิริดุจ
พระจันทร์เพ็ญ ได้ทรงเห็นรูปหญิงยืนอยู่ในที่ใกล้แล้ว. พระนางทรง
แลดูหญิงนั้นแล้ว ทรงแลดูอัตภาพ (ของตน) รู้สึกว่าตนเหมือนนางกา
(ซึ่งอยู่) ข้างหน้านางพระยาหงส์ทอง. ก็จำเดิมแต่เวลาที่ (พระนาง) ทรง
เห็นรูปอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ทีเดียว พระเนตรทั้งสองของพระนางก็วิง-
เวียน. พระนางมีจิตอันสิริโฉมแห่งสรีรประเทศทั้งหมดดึงดูดไปแล้วว่า
" โอผมของหญิงนี้ก็งาม. โอหน้าผากก็งาม " ดังนี้ ได้มีสิเนหาในรูปนั้น
อย่างรุนแรง. พระศาสดาทรงทราบความยินดีอย่างสุดซึ้งในรูปนั้นของ
พระนาง พอเมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงทรงแสดงรูปนั้นให้ล่วงภาวะของ
ผู้มีอายุ 16 ปี มีอายุราว 20 ปี. พระนางรูปนันทาได้ทอดพระเนตร
มีจิตเบื่อหน่ายหน่อยหนึ่งว่า " รูปนี้ไม่เหมือนรูปก่อนหนอ. " พระศาสดา
(ทรงแสดงความแปรเปลี่ยนเพศ) ของหญิงนั้น โดยลำดับเทียว คือ เพศ
หญิงคลอดบุตรครั้งเดียว เพศหญิงกลางคน เพศหญิงแก่ เพศหญิงแก่
คร่ำคร่าแล้วเพราะชรา. แม้พระนางก็ทรงเบื่อหน่ายรูปนั้น ในเวลาที่
ทรุดโทรมเพราะชราโดยลำดับเหมือนกัน ว่า " โอรูปนี้ หายไปแล้ว ๆ "
(ครั้น) ทรงเห็นรูปนั้นมีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง มีซี่โครงขึ้นดุจ
กลอน มีไม้เท้ายันข้างหน้า งกงันอยู่ ก็ทรงเบื่อหน่ายเหลือเกิน. ลำดับ
นั้น พระศาสดาทรงแสดงรูปหญิงนั้นให้เป็นรูปอันพยาธิครอบงำ ใน
ขณะนั้นเอง หญิงนั้นทิ้งไม้เท้าและพัดใบตาล ร้องเสียงขรม ล้มลงที่
ภาคพื้น จมลงในมูตรและกรีสของตน กลิ้งเกลือกไปมา. พระนางรูป-
นันทา ทรงเห็นหญิงนั้นเเล้ว ทรงเบื่อหน่ายเต็มที. พระศาสดา ทรง
แสดงมรณะของหญิงนั้นแล้ว. หญิงนั้นถึงความเป็นศพพองขึ้นในขณะ
นั้นเอง. สายเเห่งหนองและหมู่หนอนไหลออกจากปากแผล11ทั้ง 9. ฝูง
สัตว์มีกาเป็นต้น รุมแย่งกันกินแล้ว. พระนางรูปนันทา ทรงพิจารณาซาก
ศพนั้นแล้ว ทรงเห็นอัตภาพโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงว่า " หญิงนี้ถึง
ความแก่ ถึงความเจ็บ ถึงความตาย ในที่นี้เอง. ความแก่ ความเจ็บ
และความตาย จักมาถึงแก่อัตภาพแม้นี้อย่างนั้นเหมือนกัน. " และเพราะ
ความที่อัตภาพเป็นสภาพอันพระนางทรงเห็นแล้ว โดยความเป็นสภาพไม่
เที่ยงนั่นเอง อัตภาพนั้น จึงเป็นอันทรงเห็นแล้วโดยความเป็นทุกข์ โดย
ความเป็นอนัตตาทีเดียว. ลำดับนั้น ภพทั้งสามปรากฏแก่พระนางดุจถูก
1. แผล 9 คือ ตา หู จมูก อย่างละ 2 ปาก 1 ทวารหนัก 1 ทวารเบา 1.
ไฟเผาลนแล้ว และดุจซากศพอันเขาผูกไว้ที่พระศอ จิตมุ่งตรงต่อกรรมฐาน
แล้ว. พระศาสดาทรงทราบว่า พระนางทรงคิดเห็นอัตภาพโดยความเป็น
สภาพไม่เที่ยงแล้ว จึงทรงพิจารณาดูว่า " พระนางจักสามารถทำที่พึ่งแก่
ตนได้เองทีเดียวหรือไม่หนอแล ? " ทรงเห็นว่า " จักไม่อาจ. การที่
พระนางได้ปัจจัยภายนอก (เสียก่อน) จึงจะเหมาะ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะ
ทรงแสดงธรรม ด้วยอำนาจธรรมเป็นที่สบายแห่งพระนาง ได้ตรัสพระ-
คาถาเหล่านี้ว่า
" นันทา เธอจงดูกายอันกรรมยกขึ้น อันอาดูร
ไม่สะอาด เปื่อยเน่า ไหลออกอยู่ข้างบน ไหลออก
อยู่ข้างล่าง ที่พาลชนทั้งหลายปรารถนากันนัก; สรีระ
ของเธอนี้ ฉันใด, สรีระของหญิงนั่น ก็ฉันนั้น,
สรีระของหญิงนั่น ฉันใด สรีระของเธอนี้ ก็ฉันนั้น:
เธอจงเห็นธาตุ ทั้งหลายโดยความเป็นของสูญ, อย่า
กลับมาสู่โลกนี้อีก, เธอคลี่คลายความพอใจในภพ
เสียแล้ว จักเป็นบุคคลผู้สงบเที่ยวไป.
พระนางนันทาสำเร็จโสดาปัตติผล
ได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภพระนางนันทาภิกษุณี
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. พระนางนันทา ทรงส่ง
ญาณไปตามกระแสเทศนา บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.
พระศาสดาทรงแสดงวิปัสสนา
ลำดับนั้น พระศาสดาเพื่อจะตรัสสุญญตกรรมฐาน เพื่อต้องการ
อบรมวิปัสสนาเพื่อมรรคผลทั้งสามยิ่งขึ้นไปแก่พระนาง จึงตรัสว่า "นันทา
เธออย่าทำความเข้าใจว่า ' สาระในสรีระนี้ มีอยู่' เพราะสาระในสรีระนี้
แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่มี, สรีระนี้ อันกรรมยกกระดูก 300 ท่อนขึ้น
สร้างให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย " ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
5. อฏฺฐินํ นครํ กตํ มํสโลหิตเลปนํ
ยตฺถ ชรา จ มจฺจุ จ มาโน มกฺโข จ โอหิโต.
"สรีระอันกรรมทำให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย
ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต เป็นที่ตั้งลงแห่งชรา มรณะ
มานะ และมักขะ"
แก้อรรถ
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า " เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายให้
ยกไม้ทั้งหลายขึ้น (เป็นโครง) เอาเถาวัลย์ผูกแล้ว ฉาบด้วยดินเหนียว
ทำให้เป็นเรือนภายนอกกล่าวคือนคร เพื่อประโยชน์แก่การตั้งปุพพัณชาติ
และอปรัณชาติเป็นต้นลง ฉันใด; แม้สรีระนี้ที่เป็นไปในภายใน ก็ฉัน
นั้น อันกรรมยังกระดูก 300 ท่านให้ยกขึ้นแล้วทำให้เป็นนคร อันเส้น
เอ็นรึงรัดไว้ ฉาบทาด้วยเนื้อและโลหิต หุ้มห่อด้วยหนัง เพื่อประโยชน์
แก่การตั้งลงแห่งชรา ซึ่งมีความทรุดโทรมเป็นลักษณะ แห่งมัจจุซึ่งมี
ความตายเป็นลักษณะ แห่งมานะซึ่งมีความเมา เพราะอาศัยความถึงพร้อม
ด้วยความระหง1เป็นต้นเป็นลักษณะ และแห่งมักขะมีการทำกรรมที่เขาทำ
ดีแล้วให้ฉิบหายเป็นลักษณะ. เพราะอาพาธอันเป็นไปทางกายและทางใจ
1. อาโห เป็นส่วนสูง ปริณาห เป็นส่วนกลม งามพร้อม ได้ส่วนสัด.
เห็นปานนี้นั่นแล ตั้งลงแล้วในสรีระนี้. นอกจากนี้ไม่มีอะไร ๆ ที่เข้า
ถึงความเป็นของจะพึงถือเอาได้.
ในกาลจบเทศนา พระนางรูปนันทาเถรีได้บรรลุพระอรหัตผล.
พระธรรมเทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์เเก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระนางรูปนันทาเถรี จบ.
6. เรื่องของพระนางมัลลิกาเทวี [123]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนาง-
มัลลิกาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา "
เป็นต้น.
พระนางมัลลิกาทำสันถวะกับสุนัข
ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระนางมัลลิกาเทวีนั้น เสด็จเข้าไปยังซุ้ม
สำหรับสรงสนาน ทรงชำระพระโอษฐ์แล้ว ทรงน้อมพระสรีระลงปรารภ
เพื่อจะชำระพระชงฆ์ มีสุนัขตัวโปรดตัวหนึ่ง เข้าไปพร้อมกับพระนาง
ทีเดียว. มันเห็นพระนางน้อมลงเช่นนั้น จึงเริ่มจะทำอสัทธรรมสันถวะ.
พระนางทรงยินดีผัสสะของมัน จึงได้ประทับยืนอยู่. พระราชาทรงทอด
พระเนตรทางพระแกลในปราสาทชั้นบน ทรงเห็นกิริยานั้น ในเวลา
พระนางเสด็จมาจากซุ้มน้ำนั้น จึงตรัสว่า " หญิงถ่อย จงฉิบหาย เพราะ
เหตุไร เจ้าจึงได้ทำกรรมเห็นปานนี้ ? "
พระราชาแพรูพระนางมัลลิกา
พระนาง. หม่อมฉันทำกรรมอะไร พระเจ้าข้า.
พระราชา. ทำสันถวะกับ สุนัข.
พระนาง. เรื่องนี้หามิได้ พระเจ้าข้า.
พระราชา. ฉันเองเห็น. ฉันจะเชื่อเจ้าไม่ได้. หญิงถ่อย จง
ฉิบหาย.
พระนาง. ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า ฯ ผู้ใดผู้หนึ่งเข้า
ไปยังซุ้มน้ำนี้ผู้เดียวเท่านั้น ก็ปรากฏเห็นสองคน แก่ผู้ที่แลดูทางพระ-
แกลนี้.
พระราชา. เจ้าพูดไม่จริง หญิงชั่ว.
พระนาง. พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉัน. ขอเชิญ
พระองค์เสด็จเข้าไปยังซุ้มน้ำนั้น. หม่อมฉันจักแลดูพระองค์ทางพระแกลนี้.
พระราชาติดจะเขลา จึงทรงเชื่อถ้อยคำของพระนาง แล้วเสด็จเข้า
ไปยังซุ้มน้ำ. ฝ่ายพระนางเทวีนั้นแล ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ที่พระแกล
ทูลว่า " มหาราชผู้มืดเขลา ชื่ออะไรนั่น. พระองค์ทรงทำสันถวะกับ
นางแพะ " แม้เมื่อพระราชาจะตรัสว่า " นางผู้เจริญ ฉันมิได้ทำกรรม
เห็นปานนั้น " ก็ทูลว่า " แม้หม่อมฉันเห็นเอง หม่อมฉันจะเชื่อพระองค์
ไม่ได้ " พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงเชื่อว่า " ผู้เข้าไปยังซุ้มน้ำ
นี้ ผู้เดียวเท่านั้น ก็ย่อมปรากฏเป็นสองคนแน่. " พระนางมัลลิกา ทรง
ดำริว่า " พระราชานี้ อันเราลวงได้เเล้ว ก็เพราะพระองค์โง่เขลา. เรา
ทำกรรมชั่วแล้ว, ก็พระราชานี้ เรากล่าตู่ด้วยคำไม่จริง. แลแม้พระ-
ศาสดา จักทรงทราบกรรมนี้ของเรา. พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี พระ-
อสีติมหาสาวกก็ดี จักทราบ; ตายจริง เราทำกรรมหนักแล้ว." ทราบว่า
พระนางมัลลิกานี้ ได้เป็นสหายในอสติสทานของพระราชา.
พระนางมัลลิกาเกิดในอเวจี
ก็ในอสติสทานนั้น การบริจาคที่ทรงทำในวันหนึ่ง มีค่าถึงทรัพย์
14โกฏิ. ก็เศวตฉัตร บัลลังก์ประทับนั่ง เชิงบาตร ตั่งสำหรับรอง
พระบาทของพระตถาคตเจ้า 4 อย่างนี้ ได้มีค่านับไม่ได้. ในเวลาจะสิ้น