บอกอนิมิตตสมาบัติ
. . .เข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอนิมิตตสมาบัติอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อนิมิตตสมาบัติ .. .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตสมาบัติ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อนิมิตตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปณิหิตสมาบัติ
. . .เข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอัปปณิหิตสมาบัติอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อัปปณิหิตสมาบัติ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตสมาบัติ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อัปปณิหิตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว. . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกวิชชา 3
[313] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
วิชชา 3 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าวิชชา 3 อยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าวิชชา 3 แล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้วิชชา 3 . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในวิชชา 3 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. ..วิชชา 3 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสติปัฏฐาน
[314] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
สติปัฏฐาน 4 แล้วดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าสติปัฏฐาน 4 อยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าสติปัฏฐาน 4 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้สติปัฏฐาน 4 ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในสติปัฏฐาน 4 ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สติปัฏฐาน 4 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตทิย์.
บอกสัมมัปปธาน 4
. . .ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน 4 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าสัมมัปปธาน 4 อยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .เป็นผู้เข้าสัมมัปปธาน 4 แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้สัมมัปปธาน 4 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .เป็นผู้ชำนาญในสัมมัปปธาน 4 . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .สัมมัปปธาน 4 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอิทธิบาท 4
. . .ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท 4 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอิทธิบาท 4 อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอิทธิบาท 4 แล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อิทธิบาท 4 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอิทธิบาท 4 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อิทธิบาท 4 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอินทรีย์ 5
[315] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
อินทรีย์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอินทรีย์ 5 อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอินทรีย์ 5 แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อินทรีย์ 5 . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอินทรีย์ 5 .. . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อินทรีย์ 5 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกพละ 5
. . .ข้าพเจ้าเข้าพละ 5 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าพละ 5 อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าพละ 5 แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้พละ 5 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในพละ 5 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .พละ 5 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกโพชฌงค์ 7
[316] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
โพชฌงค์ 7 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าโพชฌงค์ 7 อยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าโพชฌงค์ 7 แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้โพชฌงค์ 7 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในโพชฌงค์ 7 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โพชฌงค์ 7 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอริยมรรคมีองค์ 8
[317] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
อริยมรรคมีองค์ 8 แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอริยมรรคมีองค์ 8 อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอริยมรรคมีองค์ 8 แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อริยมรรคมีองค์ 8 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอริยมรรคมีองค์ 8 . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อริยมรรคมีองค์ 8 ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกโสดาปัตติผล
[318] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
โสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .เข้าโสดาปัตติผลอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าโสดาปัตติผลแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้โสดาปัตติผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในโสดาปัตติผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โสดาปัตติผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสกทาคามิผล
. . .ข้าพเจ้าเข้าสกทาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าสกทาคามิผลอยู่ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าสกทาคามิผลแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้สกทาคามิผล . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในสกทาคามิผล. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สกทาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอนาคามิผล
. . .ข้าพเจ้าเข้าอนาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอนาคามิผลอยู่ . .. ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอนาคามิผลแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อนาคามิผล . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอนาคามิผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .อนาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอรหัตผล
. . .เข้าอรหัตผลแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอรหัตผลอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอรหัตผลแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอรหัตผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .อรหัตผลข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสละ ราคะ โทสะ โมหะ
[319] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสันบันว่า ราคะข้าพเจ้า
สละแล้ว ตายแล้ว พ้นแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ดังนี้
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โทสะ ข้าพเจ้าสละแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โมหะ ข้าพเจ้าสละแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .บอกจิตเปิดจากราคะ โทสะ โมหะ
[320] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบัน ว่า จิตของข้าพเจ้า
เปิดจากราคะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานในสุญญาคาร
[321] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
ปฐมฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าปฐมฌานในสุญญาคารอยู่ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าปฐมฌานในสุญญาคารแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้ปฐมฌานในสุญญาคาร . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานในสุญญาคาร . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ปฐมฌานในสุญญาคารข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้วะ . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานในสุญญาคาร
. . .ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าทุติยฌานในสุญญาคารอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าทุติยฌานในสุญญาคารแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้ทุติยฌานในสุญญาคาร . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญทุติยฌานในสุญญาคาร . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ทุติยฌานในสุญญาคารข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว. . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าตติยฌานในสุญญาคาร
. . .ข้าพเจ้าเข้าตติยฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าตติยฌานในสุญญาคารอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าตติยฌานในสุญญาคารแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้ตติยฌานในสุญญาคาร. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญตติยฌานในสุญญาคาร. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ตติยฌานในสุญญาคาร ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว. . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าจตุตถฌานในสุญญาคาร
. . .ข้าพเจ้าเข้าจตุตถฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าจตุตถฌานในสุญญาคารอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าจตุตถฌานในสุญญาคารแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้จตุตถฌานในสุญญาคาร. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในจตุตถฌานในสุญญาคาร. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .จตุตถฌานในสุญญาคาร ข้าพเจ้า ทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและทุติยฌาน
[322] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
ปรมฌานทุติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าปรมฌานและทุติยฌานอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าปฐมฌานและทุติยฌานแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้ปฐมฌานและทุติยฌาน. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.