เมนู

ต่อบุคคลทั้งหลาย ผู้ตามประกอบตน ยังคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้นให้ถึง
พร้อมแล้ว. สักการะจากสำนักเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือย่อมปรารถนา
ว่า " โอหนอ แม้เราก็พึงเป็นผู้เช่นนี้. "
บทว่า มา ปิเยหิ ความว่า บุคคลไม่พึงสมาคมด้วยสัตว์หรือสังขาร
ทั้งหลายอันเป็นที่รัก ในกาลไหนๆ คือแม้ชั่วขณะหนึ่ง, สัตว์หรือสังขาร
ทั้งหลายอันไม่เป็นที่รัก ก็เหมือนกัน. ถามว่า เพราะเหตุไร ? แก้ว่า
เพราะว่าการไม่เห็นสัตว์และสังขารทั้งหลายอันเป็นที่รัก ด้วยอำนาจความ
พลัดพราก และการเห็นสัตว์และสังขารทั้งหลายอันไม่เป็นที่รัก ด้วยอำนาจ
เข้าไปใกล้ เป็นทุกข์.
บทว่า ตสฺมา ความว่า และการเห็นและไม่เห็นทั้งสองนี้เป็นทุกข์.
เหตุนั้น บุคคลไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารไร ๆ ให้เป็นที่รักเลย.
ความไปปราศ คือความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารทั้งหลาย อัน
เป็นที่รัก ชื่อว่า ปิยาปาโย. บทว่า ปาปโก ได้แก่ ลามก.
บาทพระคาถาว่า คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ ความว่า ชนเหล่าใด
มีอารมณ์เป็นที่รัก. ชนเหล่านั้น ย่อมละกิเลสเครื่องร้อยรัดทางกายคือ
อภิชฌาเสียได้. ชนเหล่าใด ไม่มีอารมณ์อันไม่เป็นที่รัก. ชนเหล่านั้น
ย่อมละกายคันถะคือพยาบาทเสียได้ ก็เมื่อละกิเลส 2 อย่างนั้นได้แล้ว แม้
กิเลสเครื่องร้อยรัดที่เหลือ ก็เป็นอันชื่อว่าละได้เเล้ว (เหมือนกัน); เหตุนั้น
บุคคลไม่พึงทำอารมณ์ให้เป็นที่รักหรือไม่ให้เป็นที่รัก.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น. ฝ่ายชนทั้งสามนั้นคิดว่า " พวกเราไม่อาจอยู่พรากกัน
ได้ " ดังนี้แล้วได้สึกไปสู่เรือนตามเดิม ดังนี้แล.
เรื่องบรรพชิต 3 รูป จบ.

2. เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง [166]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุฎุมพีคนใด
คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา " ปิยโต ชายตี1 " เป็นต้น.

พระศาสดาเสด็จไประงับความโศกของพราหมณ์


ความพิสดารว่า กุฏุมพีนั้น ครั้นบุตรของตนทำกาละแล้ว. อัน
ความโศกถึงบุตรครอบงำ ไปสู่ป่าช้า ร้องไห้อยู่, ไม่อาจที่จะหักห้าม
ความโศกถึงบุตรได้.
พระศาสดาทรงพิจารณาดูสัตว์โลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัย
โสดาปัตติมรรคของกุฎุมพีนั้น กลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้ทรงพาภิกษุผู้
เป็นปัจฉาสมณะรูปหนึ่ง เสด็จไปประตูเรือนของกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีนั้น
ได้ฟังความที่พระศาสดาเสด็จมา คิดว่า " พระศาสดาจักทรงประสงค์เพื่อ
ทำปฏิสันถารกับด้วยเรา " จึงอัญเชิญพระศาสดาให้เสด็จไปสู่เรือน ปู
อาสนะไว้ในท่ามกลางเรือน เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้ว, ก็มาถวาย
บังคมเเล้วนั่ง ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามกุฎุมพีนั้นว่า " อุบาสก ท่านต้อง
ทุกข์เพราะเหตุอะไรหนอแล ? " เมื่อกุฎุมพีนั้น กราบทูลทุกข์เพราะพลัด
พรากจากบุตรแล้ว. ตรัสว่า " อย่าคิดเลย อุบาสก. ชื่อว่าความตายนี้
มิใช่มีอยู่ในที่เดียว. และมิใช่มีจำเพาะแก่บุคคลผู้เดียว, ก็ชื่อว่าความเป็น
ไปแห่งภพ ยังมีอยู่เพียงใด. ความตายก็ย่อมมีแก่สรรพสัตว์เพียงนั้น
เหมือนกัน; แม้สังขารอันหนึ่ง ที่ชื่อว่าเที่ยงย่อมไม่มี; เพราะเหตุนั้น
1. โบราณว่า ชายเต.

ท่านพึงพิจารณาโดยอุบายอันแยบคายว่า ' ธรรมชาติมีความตายเป็นธรรมดา
ตายเสียแล้ว, ธรรมชาติมีความแตกเป็นธรรมดา แตกเสียแล้ว,' ไม่พึง
เศร้าโศก; เพราะว่าโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ในกาลที่ลูกรักตายแล้ว
พิจารณาว่า ' ธรรมชาติมีความตายเป็นธรรมดา ตายเสียแล้ว. ธรรมชาติ
มีความแตกเป็นธรรมดา แตกเสียแล้ว ่ ดังนี้แล้ว ไม่ทำความเศร้าโศก
เจริญมรณัสสติอย่างเดียว " อันกุฎุมพีทูลอ้อนวอนว่า " ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ บัณฑิตพวกไหน ได้ทำแล้วอย่างนั้น; และได้ทำในกาลไร ? ขอ
พระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น
จึงทรงนำอดีตนิทานมา ยังอุรคชาดก1ในปัญจกนิบาตนี้ให้พิสดารว่า :-
" บุตรของเรา เมื่อสรีระใช้ไม่ได้ ละสรีระของ
ตนไป ดุจงูลอกคราบเก่าฉะนั้น, เมื่อบุตรของเราตาย
จากไปแล้ว, เขาถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ปริเทวนาการ
ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงบุตร
นั่น; เขามีคติเช่นใด ก็ไปสู่คติเช่นนั้น (เอง) "

ดังนี้แล้ว จึงตรัส (ต่อไปอีก) ว่า " บัณฑิตในกาลก่อนเมื่อลูกรักทำกาละ
แล้วอย่างนั้น. ไม่ประพฤติอย่างท่าน ผู้ทอดทิ้งการงานแล้วอดอาหาร
เที่ยวร้องไห้อยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ทำความโศก ด้วยอำนาจมรณัสสติภาวนา
รับประทานอาหาร และอธิษฐาน (ตั้งใจทำ) การงาน, เพราะฉะนั้น
ท่านอย่าคิดว่า ' ลูกรักของเรากระทำกาละแล้ว, ' แท้จริง ความโศกก็ดี
ภัยก็ดี เมื่อจะเกิดย่อมอาศัยของที่รักนั่นเองเกิด " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระ-
คาถานี้ว่า :-
1. ขุ. ชา. อรรถกถา. 4/430.

2. ปิยโต ชายตี โสโก ปิยโต ชายตี ภยํ
ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก, ภัย ย่อมเกิด
แต่ของที่รัก; ความโศก ย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้อง
ได้จากของที่รัก, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยโต เป็นต้น ความว่า ก็ความโศก
ก็ดี ภัยก็ดี อันมีวัฏฏะเป็นมูล เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมอาศัยสัตว์หรือสังขาร
อันเป็นที่รักเท่านั้นเกิด, แต่ความโศกและภัยแม้ทั้งสองนั่นย่อมไม่มีแก่ผู้
ปลดเปลื้องจากสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักนั้นได้เเล้ว.
ในกาลจบเทศนา กุฎุมพีตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. เทศนาได้มี
ประโยชน์แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง จบ.

3. เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา [167]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางวิสาขา
อุบาสิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เปมโต ชายตี " เป็นต้น.

นางวิสาขาโศกถึงนางสุทัตตีที่ทำกาละ


ได้ยินว่า นางวิสาขานั้นตั้งกุมาริกาชื่อว่าสุทัตตี ผู้เป็นธิดาของบุตร
ไว้ในหน้าที่ของตน ให้ทำความขวนขวายแก่ภิกษุสงฆ์ในเรือน.
โดยสมัยอื่น กุมาริกานั้นได้ทำกาละแล้ว, นางวิสาขาให้ทำการฝัง
สรีระ (ศพ) นางแล้ว ไม่อาจจะอดกลั้นความโศกไว้ได้ มีทุกข์เสียใจไป
สู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสอุบายระงับความโศก


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า " วิสาขา ทำไมหนอเธอจึง
มีทุกข์เสียใจ มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา นั่งร้องไห้อยู่ ? " นางจึงทูลข้อความ
นั้น แล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า นางกุมารีนั้นเป็นที่รักของหม่อมฉัน
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร, บัดนี้หม่อมฉันไม่เห็นใครเช่นนั้น. "
พระศาสดา. วิสาขา ก็ในกรุงสาวัตถีมีมนุษย์ประมาณเท่าไร ?
วิสาขา. พระเจ้าข้า พระองค์นั่นแหละ ตรัสแก่หม่อมฉันว่า ' ใน
กรุงสาวัตถี มีชน 7 โกฏิ.'
พระศาสดา. ก็ถ้าชนมีประมาณเท่านี้ ๆ พึงเป็นเช่นกับหลานสาว
ของเธอไซร้ เธอพึงปรารถนาเขาหรือ ?
นางวิสาขา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ก็ชนในกรุงสาวัตถีทำกาละวันละเท่าไร ?
นางวิสาขา. มาก พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่เธอจะเศร้าโศกก็จะไม่พึงมี
มิใช่หรือ ? เธอพึงเที่ยวร้องไห้อยู่ทั้งกลางคืนและกลางวันทีเดียวหรือ ?
นางวิสาขา. ยกไว้เถิด พระเจ้าข้า. หม่อมฉันทราบแล้ว.
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสกะนางว่า " ถ้ากระนั้น เธออย่าเศร้า
โศก. ความโศกก็ดี ความกลัวก็ดี ย่อมเกิดแต่ความรัก " ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. เปมโต ชายตี โสโก เปมโต ชายตี ภยํ
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่
ความรัก; ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจาก
ความรัก, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปมโต ความว่า เพราะอาศัยความรัก
ที่ทำไว้ในบุตรและธิดาเป็นต้นนั่นเอง.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา จบ.