3. เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ [150]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา ทรงอาศัยนครพาราณสี ประทับอยู่ที่โคนไม้ซึก 7 ต้น
ทรงปรารภพระยานาคชื่อเอรกปัตตะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " กิจฺโฉ
มนุสฺสปฏิลาโภ " เป็นต้น.
อาบัติเล็กน้อยไม่แสดงเสียก่อนให้โทษ
ทราบว่า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อน
พระยานาคนั้นเป็นภิกษุหนุ่ม ขึ้นเรือไปในแม่น้ำคงคา ยึดใบตะไคร้น้ำ
กอหนึ่ง เมื่อเรือแม้เเล่นไปโดยเร็ว, ก็ไม่ปล่อย. ใบตะไคร้น้ำขาดไปแล้ว.
ภิกษุหนุ่มนั้นไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิดเสียว่า " นี้เป็นโทษเพียงเล็กน้อย "
แม้ทำสมณธรรมในป่าสิ้น 2 หมื่นปี ในกาลมรณภาพ เป็นประดุจใบ
ตะไคร้น้ำผูกคอ แม้อยากจะแสดงอาบัติ เมื่อไม่เห็นภิกษุอื่น ก็เกิดความ
เดือดร้อนขึ้นว่า " เรามีศีลไม่บริสุทธิ์ " จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิด
เป็นพระยานาค ร่างกายประมาทเท่าเรือโกลน. เขาได้มีชื่อว่า " เอรก
ปัตตะ " นั่นแล. ในขณะที่เกิดแล้วนั่นเอง พระยานาคนั้นแลดูอัตภาพ
แล้ว ได้มีความเดือดร้อนว่า " เราทำสมณธรรมตลอดกาลชื่อมีประมาณ
เท่านี้ เป็นผู้บังเกิดในที่มีกบเป็นอาหาร ในกำเนิดแห่งอเหตุกสัตว์."
ในกาลต่อมาเขาได้ธิดาคนหนึ่ง แผ่พังพานใหญ่บนหลังน้ำในแม่น้ำ
คงคา วางธิดาไว้บนพังพานนั้น ให้ฟ้อนรำขับร้องแล้ว.
พระยานาคออกอุบายเพื่อทราบการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า
ทราบว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
เราจักได้ยินความที่พระพุทธเจ้านั้นบังเกิดขึ้น ด้วยอุบายนี้แน่ละ; ผู้ใด
นำเพลงขับ แก้เพลงขับของเราได้, เราจักให้ธิดากับด้วยนาคพิภพอันใหญ่
แก่ผู้นั้น," วางธิดานั้นไว้บนพังพาน ในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน. ธิดา
นั้นยืนฟ้อนอยู่บนพังพานนั้น ขับเพลงขับนี้ว่า :-
" ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่าพระราชา ?
อย่างไรเล่า พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร ?
อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี, อย่างไร ? ท่าน
จึงเรียกว่า ' คนพาล.' "
ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น พากันมาด้วยหวังว่า " เราจักพาเอานางนาค-
มาณวิกา " แล้วทำเพลงขับแก้ ขับไปโดยกำลังปัญญาของตน ๆ. นาง
ย่อมห้ามเพลงขับตอบนั้น. เมื่อนางยืนอยู่บนพังพานทุกกึ่งเดือน ขับเพลง
อยู่อย่างนี้เท่านั้น พุทธันดรหนึ่งล่วงไปแล้ว .
พระศาสดาทรงผูกเพลงขับแก้
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง
ทรงตรวจดูโลก ทำเอรกปัตตนาราชให้เป็นต้น ทรงเห็นมาณพชื่อ
อุตตระ ผู้เข้าไปภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญดูว่า
" จักมีเหตุอะไร ? " ได้ทรงเห็นแล้วว่า " วันนี้เป็นวันที่เอรกปัตตนาคราช
ทำธิดาไว้บนพังพานแล้วให้ฟ้อน อุตตรมาณพนี้เรียนเอาเพลงขับแก้ที่เรา
ให้เเล้วจักเป็นโสดาบัน เรียนเอาเพลงขับนั้นไปสู่สำนักของนาคราชนั้น,
นาคราชนั้นฟังเพลงขับแก้นั้นแล้ว จักทราบว่า ' พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ
ขึ้นแล้ว ' จักมาสู่สำนักของเรา, เมื่อนาคราชนั้นมาแล้ว, เราจักกล่าว
คาถาในสมาคมอันใหญ่, ในกาลจบคาถา สัตว์ประมาณ 8 หมื่น 4 พัน
จักตรัสรู้ธรรม"
พระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ โคนต้นซึกต้นหนึ่ง
บรรดาต้นซึก 7 ต้นที่มีอยู่ในที่ไม่ไกลแต่เมืองพาราณสี. ชาวชมพูทวีป
พาเอาเพลงขับแก้เพลงขับไปประชุมกันแล้ว . พระศาสดาทอดพระเนตร
เห็นอุตตรมาณพกำลังไปในที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า " อุตตระ. "
อุตตระ. อะไร ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอจงมานี่ก่อน.
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพนั้น ผู้มาถวายบังคมนั่งลงแล้ว
ถามว่า " เธอจะไปไหน ? "
อุตตรมาณพ. จักไปยังที่ที่ธิดาของเอรกปัตตนาคราช ขับเพลง.
พระศาสดา. ก็เธอรู้เพลงขับแก้เพลงขับหรือ ?
อุตตรมาณพ. ข้าพระองค์ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอจงกล่าวเพลงเหล่านั้นดูก่อน.
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพผู้กล่าวตามธรรมดาความรู้ของ
ตนเท่านั้นว่า " แน่ะอุตตระ นั่น ไม่ใช่เพลงขับแก้, เราจักให้เพลงขับ
แก้แก่เธอ, เธอต้องเรียนเพลงขับแก้นั้น ให้ได้ "
อุตตมาณพ. ดีละ พระเจ้าข้า.
อุตตรมาณพเรียนเพลงแก้จากพระศาสดา
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " อุตตระ ในกาลที่นางนาคมาณ
วิกาขับเพลง เธอพึงขับเพลงแก้นี้ว่า :-
" ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็นพระราชา,
พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่าธุลีบนพระเศียร, ผู้ไม่
กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี, ผู้กำหนัดอยู่ ท่าน
เรียกว่า คนพาล."
ก็เพลงขับของนางนาคมาณวิกา มีอธิบายว่า:
บาทคาถาว่า กึสุ อธิปตี ราชา ความว่า ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า
จึงชื่อว่าพระราชา ?
คาถาว่า กึสุ ราชา รชสฺสิโร ความว่า อย่างไรพระราชา ย่อม
เป็นผู้ชื่อว่า มีธุลีบนพระเศียร ?
บทว่า กถํ สุ ความว่า อย่างไรกันเอ่ย พระราชานั้นเป็นผู้ชื่อว่า
ปราศจากธุลี ?
ส่วนเพลงขับแก้ มีอธิบายว่า :
บาทคาถาว่า ฉทฺวาราธิปตี ราชา ความว่า ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่แห่ง
ทวาร 6 อันอารมณ์ทั้ง 6 มีรูปเป็นต้นครอบงำไม่ได้ แม้ในทวารหนึ่ง
ผู้นี้ชื่อว่าเป็นพระราชา.
บาทคาถาว่า รชมาโน รชสฺสิโร ความว่า ก็พระราชาใดกำหนัด
อยู่ในอารมณ์เหล่านั้น, พระราชาผู้กำหนัดอยู่นั้น ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร.
บทว่า อรชํ ความว่า ส่วนพระราชาผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้
ปราศจากธุลี.
บทว่า รชํ ความว่า พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า " เป็น
คนพาล"
พระศาสดาครั้นประทานเพลงขับแก้ แก่อุตตรมาณพนั้นอย่างนี้
แล้ว ตรัสว่า " อุตตระ " เมื่อเธอขับเพลงขับนี้ (นาง) จักขับเพลงขับแก้
เพลงขับของเธออย่างนี้ว่า:-
" คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัด ไป, บัณฑิตย่อม
บรรเทาอย่างไร, อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจาก
โยคะ, ท่านผู้อันเราถามแล้ว โปรดบอกข้อนั้นแก่เรา "
ทีนั้น ท่านพึงขับเพลงขับแก้นี้แก่นางว่า :-
" คนพาลอันห้วงน้ำ (คือกามโอฆะเป็นต้น) ย่อม
พัดไป, บัณฑิตย่อมบรรเทา (โอฆะนั้น) เสียด้วย
ความเพียร, บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง
ท่านเรียกว่า ผู้มีความเกษมจากโยคะ "
เพลงขับแก้นั้น มีเนื้อความว่า :-
" คนพาลอันโอฆะ (กิเลสดุจห้วงน้ำ) 4 อย่าง
มีโอฆะคือกามเป็นต้น ย่อมพัดไป, บัณฑิตย่อม
บรรเทาโอฆะนั้น ด้วยความเพียร กล่าวคือสัมมัป-
ปธาน (ความเพียรอันตั้งไว้ชอบ), บัณฑิตนั้นไม่
ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง มีโยคะคือกามเป็นต้น ท่าน
เรียกชื่อว่า ' ผู้มีความเกษมจากโยคะ."
อุตตรมาณพ เมื่อกำลังเรียนเพลงขับแก้นี้เทียว ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผล. เขาเป็นโสดาบัน เรียนเอาคาถานั้นไปแล้ว กล่าวว่า " ผู้เจริญ
ฉันนำเพลงขับแก้เพลงขับมาแล้ว, พวกท่านจงให้โอกาสแก่ฉัน " ได้
คุกเข่าไปในท่ามกลางมหาชนที่ยืนยัดเยียดกันอยู่แล้ว. นางนาคมาณวิกา
ยืนฟ้อนอยู่บนพังพานของพระบิดา แล้วขับเพลงขับว่า
" ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา ? " เป็นต้น.
อุตตรมาณพ ขับเพลงแก้ว่า
" ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็พระราชา " เป็นอาทิ. นาง-
นาคมาณวิกา ขับเพลงโต้แก่อุตตรมาณพนั้นอีกว่า
" คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัคไป ? " เป็นต้น.
ทีนั้น อุตตรมาณพเมื่อจะขับเพลงแก้แก่นาง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
" คนพาลอันห้วงน้ำย่อมพัดไป " ดังนี้เป็นต้น.
นาคราชทราบว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว
นาคราชพอฟังคาถานั้น ทราบความที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ดีใจ
ว่า " เราไม่เคยฟังชื่อบทเห็นปานนี้ ตลอดพุทธันดรหนึ่ง, " ผู้เจริญ
พระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในโลกแล้วหนอ " จึงเอาหางฟาดน้ำ, คลื่นใหญ่
เกิดขึ้นแล้ว. ฝั่งทั้งสองพังลงแล้ว. พวกมนุษย์ในที่ประมาณอุสภะหนึ่ง
แต่ฝั่งข้างนี้และฝั่งข้างโน้น จมลงไปในน้ำ. นาคราชนั้น ยกมหาชนมี
ประมาณเท่านั้นวางไว้บนพังพาน แล้วตั้งไว้บนบก. นาคราชนั้นเข้าไป
หาอุตตรมาณพ แล้วถามว่า " แน่ะนาย พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ? "
อุตตระ. ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง มหาราช.
นาคราชนั้นกล่าวว่า " มาเถิดนาย พวกเราจะพากันไป " แล้ว
ได้ไปกับอุตตรมาณพ. ฝ่ายมหาชนก็ได้ไปกับเขาเหมือนกัน. นาคราชนั้น
ไปถึง เข้าไปสู่ระหว่างพระรัศมีมีพรรณะ 6 ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
ได้ยืนร้องไห้อยู่. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนาคราชนั้นว่า " นี่อะไร
กัน ? มหาบพิตร. "
นาคราช. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้
เช่นกับด้วยพระองค์ ได้ทำสมณธรรมสิ้น 2 หมื่นปี แม้สมณธรรมนั้น
ก็ไม่อาจเพื่อจะช่วยข้าพระองค์ได้. ข้าพระองค์อาศัยเหตุสักว่าให้ใบตะไคร้
น้ำขาดไปมีประมาณเล็กน้อย ถือปฏิสนธิในอเหตุกสัตว์ เกิดในที่ที่ต้อง
เลื้อยไปด้วยอก. ย่อมไม่ได้ความเป็นมนุษย์เลย. ไม่ได้ฟังพระธรรม,
ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยพระองค์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง.
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้ว ตรัสว่า " มหา-
บพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์หาได้ยากนัก, การฟังพระสัทธรรม ก็
อย่างนั้น การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน ; เพราะ
ว่าทั้งสามอย่างนี้ บุคคลย่อมได้โดยลำบากยากเย็น " เมื่อจะทรงแสดง
ธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท.
" ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก, ชีวิต
ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก, การฟังพระสัทธรรม
เป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นการยาก."
แก้อรรถ
เนื้อความแห่งพระคาถานั้น พึงทราบดังนี้ว่า " ก็ขึ้นชื่อว่า ความ
ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็นการยาก คือหาได้ยากเพราะความเป็น
มนุษย์ บุคคลต้องได้ด้วยความพยายามมาก ด้วยกุศลมาก, ถึงชีวิตของ
สัตว์ทั้งหลาย ก็ชื่อว่าเป็นอยู่ยาก เพราะทำกรรมมีกสิกรรมเป็นต้นเนือง ๆ
แล้วสืบต่อความเป็นไปแห่งชีวิตบ้าง เพราะชีวิตเป็นของน้อยบ้าง, แม้