2 ช่อง ได้ถ่างออกเช่นเดียวกันกับการย่างพระบาทตามปกติ. ใคร ๆ
ไม่พึงกำหนดว่า " พระศาสดาทรงเหยียดพระบาทเหยียบแล้ว. เพราะใน
เวลาที่พระองค์ทรงยกพระบาทนั่นแหละ ภูเขาเหล่านั้นก็มาสู่ที่ใกล้พระ-
บาทรับไว้แล้ว, ในเวลาที่พระศาสดาทรงเหยียบแล้ว ภูเขาเหล่านั้นก็ตั้ง
ประดิษฐานในที่เดิม. ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาแล้ว ทรง
ดำริว่า " พระศาสดาจักทรงเข้าจำพรรษานี้ ในท่ามกลางบัณฑุกัมพลสิลา.
อุปการะจักมีแก่เหล่าเทพดามากหนอ. แต่เมื่อพระศาสดาทรงจำพรรษา
ที่นั่น เทพดาอื่น ๆ จักไม่อาจหยุดมือได้; ก็แลบัณฑุกัมพลสิลานี้ ยาว
60 โยชน์ กว้าง 50 โยชน์ หนา 15 โยชน์ แม้เมื่อพระศาสดาประทับ
นั่งแล้ว ก็คงคล้ายกับว่างเปล่า." พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอ
ทรงโยนสังฆาฏิของพระองค์ไปให้คลุมพื้นศิลาแล้ว. ท้าวสักกะทรงดำริว่า
" พระศาสดาทรงโยนจีวรมาให้คลุมไว้ก่อน. ก็พระองค์จักประทับนั่งในที่
นิดหน่อยด้วยพระองค์เอง. " พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอ
จึงประทับนั่งทำบัณฑุกัมพลสิลาไว้ภายในขนดจีวรนั่นเอง ประหนึ่งภิกษุ
ผู้ทรงผ้ามหาบังสุกุล ทำตั่งเตี้ยไว้ภายในขนดจีวรฉะนั้น. ขณะนั้นเอง แม้
มหาชนแลดูพระศาสดาอยู่ ก็มิได้เห็น. กาลนั้น ได้เป็นประหนึ่งเวลา
พระจันทร์ตก. และได้เป็นเหมือนเวลาพระอาทิตย์ตก. มหาชนคร่ำครวญ
กล่าวคาถานี้ว่า :-
" พระศาสดาเสด็จไปสู่เขาจิตรกูฏ หรือสู่เขา
ไกรลาส หรือสู่เขายุคันธร, เราทั้งหลายจึงไม่เห็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โลกเชษฐ์ ผู้ประเสริฐ
กว่านระ. "
อีกพวกหนึ่งกำลังคร่ำครวญว่า "ชื่อว่าพระศาสดา ทรงยินดีแล้ว
ในวิเวก, พระองค์จักเสด็จไปสู่แคว้นอื่น หรือชนบทอื่นเสียแล้ว เพราะ
ทรงละอายว่า 'เราทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ แก่บริษัทเห็นปานนี้,' บัดนี้
เราทั้งหลายคงไม่ได้เห็นพระองค์" ดังนี้ กล่าวคาถานี้ว่า:-
"พระองค์ผู้เป็นปราชญ์ ทรงยินดีแล้วในวิเวก
จักไม่เสด็จกลับมาโลกนี้อีก. เราทั้งหลายจะไม่เห็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โลกเชษฐ์ ผู้ประเสริฐ
กว่านระ" ดังนี้.
ชนเหล่านั้นถามพระมหาโมคคัลลานะว่า " พระศาสดาเสด็จไปที่
ไหน ? ขอรับ" ท่านแม้ทราบอยู่เอง ก็ยังกล่าวว่า " จงถามพระอนุรุทธ
เถิด" ด้วยมุ่งหมายว่า "คุณแม้ของสาวกอื่น ๆ จงปรากฏ" ดังนี้.
ชนเหล่านั้นถามพระเถระอย่างนั้นว่า " พระศาสดาเสด็จไปที่ไหน"
ขอรับ. "
อนุรุทธ. เสด็จไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลสิลา ในภพดาวดึงส์
แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระมารดา.
มหาชน. จักเสด็จมาเมื่อไร ? ขอรับ.
อนุรุทธ. ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอด 3 เดือนแล้ว จักเสด็จมา
ในวันมหาปวารณา.
ชนเหล่านั้นพูดกันว่า " พวกเราไม่ได้เห็นพระศาสดา จักไม่ไป"
ดังนี้แล้ว ทำที่พักอยู่แล้วในที่นั้นนั่นเอง. ได้ยินว่า ชนเหล่านั้นได้มี
อากาศนั่นเอง เป็นเครื่องมุ่งเครื่องบัง ชื่อว่าเหงื่อที่ไหลออกจากตัวของ
บริษัทใหญ่ถึงเพียงนั้น มิได้ปรากฏแล้ว. แผ่นดินได้แหวกช่องให้แล้ว.
พื้นแผ่นดินในที่ทุกแห่ง ได้เป็นที่สะอาดทีเดียว. พระศาสดาได้ตรัสสั่ง
พระมหาโมคคัลลานะไว้ก่อนทีเดียวว่า " โมคัลลานะ เธอพึงแสดงธรรม
แก่บริษัทนั่น, จุลอนาถบิณฑิกะจักให้อาหาร. " เพราะเหตุนั้น จุลอนาถ-
บิณฑิกะแล ได้ให้แล้วซึ่งข้าวต้ม ข้าวสวย ของเคี้ยว ของหอม
ระเบียบและเครื่องประดับ แก่บริษัทนั้น ทุกเวลาทั้งเช้าและเย็นตลอด
ไตรมาสนั้น. พระมหาโมคคัลลานะแสดงธรรมแล้ว วิสัชนาปัญหาที่
เหล่าชนผู้มาแล้ว ๆ เพื่อดูปาฏิหาริย์ถามแล้ว.
พระสัมพุทธเจ้าไพโรจน์ล่วงเหล่าเทวดา
เทวดาในหมื่นจักรวาล แวดล้อมแม้พระศาสดา ผู้ทรงจำพรรษา
ที่บัณฑุกัมพลสิลา เพื่อทรงแสดงอภิธรรมแก่พระมารดา เหตุนั้น
พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า :-
" ในกาลใด พระพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดบุรุษประทับ
อยู่เหนือบัณฑุกัมพลสิลา ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ ในภพ
ดาวดึงส์, ในกาลนั้น เทพดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ
ประชุมพร้อมกันแล้วเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้
ประทับอยู่บนยอดเขา, เทพดาองค์ไหน ๆ ก็หา
ไพโรจน์กว่าพระสัมพุทธเจ้าโดยวรรณะไม่, พระ-
สัมพุทธเจ้าเท่านั้น ย่อมไพโรจน์ล่วงปวงเทพดา
ทั้งหมด. "
ก็เมื่อพระศาสดานั้น ประทับนั่งครอบงำเทพดาทุกหมู่เหล่า ด้วย
รัศมีพระสรีระของพระองค์อย่างนี้ พระพุทธมารดาเสด็จมาจากวิมาน
ชั้นดุสิต ประทับนั่ง ณ พระปรัศว์เบื้องขวา. แม้อินทกเทพบุตร ก็มานั่ง
ณ พระปรัศว์เบื้องขวาเหมือนกัน. อังกุรเทพบุตรมานั่ง ณ พระปรัศว์เบื้อง-
ซ้าย. อังกุรเทพบุตรนั้น เมื่อเทพดาทั้งหลายผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน ร่นออก
ไปแล้ว ได้โอกาสในที่มีประมาณ 12 โยชน์. อินทกเทพบุตรนั่งในที่
นั่นเอง. พระศาสดาทอดพระเนตรดูเทพบุตรทั้งสองนั้นแล้ว มีพระประ-
สงค์จะยังบริษัทให้ทราบความที่ทานอันบุคคลถวายแล้วแก่ทักขิไนยบุคคล
ในศาสนาของพระองค์ เป็นกุศลมีผลมาก จึงตรัสอย่างนั้นว่า " อังกุระ
เธอทำแถวเตาไฟยาว 12 โยชน์ให้ทานเป็นอันมาก ในกาลประมาณหมื่นปี
ซึ่งเป็นระยะกาลนาน. บัดนี้เธอมาสู่สมาคมของเรา ได้โอกาสในที่ไกล
ตั้ง 12 โยชน์ ซึ่งไกลกว่าเทพบุตรทั้งหมด; อะไรหนอแล เป็นเหตุใน
ข้อนี้ ? " แท้จริงพระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย ก็ได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า:-
" พระสัมพุทธเจ้า ทอดพระเนตรอังกุรเทพบุตร
และอินทกเทพบุตรแล้ว เมื่อจะทรงยกย่องทักขิ-
ไณยบุคคล ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ' อังกุระ เธอ
ให้ทานเป็นอันมาก ในระหว่างกาลนาน, เธอเมื่อ
มาสู่สำนักของเรา นั่งเสียไกลลิบ. "
พระศาสดาตรัสได้ยินถึงมนุษยโลก
พระสุรเสียงนั้น (ดัง) ถึงพื้นปฐพี. บริษัททั้งหมดนั้น ได้ยิน
พระสุรเสียงนั้น.
เมื่อพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว อังกุรเทพบุตร อันพระศาสดา
ผู้มีพระองค์อันอบรมแล้วตรัสเตือนแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ว่า:-
" ข้าพระองค์จะต้องการอะไร ด้วยทานอันว่าง
เปล่าจากทักขิไณยบุคคล ยักษ์1ชื่ออินทกะนี้นั้น ถวาย
ทานแล้วนิดหน่อย ยังรุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ดุจ
พระจันทร์ในหมู่ดาว."
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทชฺชา แก้เป็น ทตฺวา (แปลว่า
ให้แล้ว).
เมื่ออังกุรเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาตรัสกะอินทก-
เทพบุตรว่า " อินทกะ เธอนั่งข้างขวาของเรา. ไฉนจึงไม่ต้องร่นออก
ไปนั่งเล่า ? " อินทกเทพบุตรกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้
ทักขิไณยสมบัติแล้ว ดุจชาวนาหว่านพืชนิดหน่อยในนาดี " ดังนี้แล้ว
เมื่อจะประกาศทักขิไณยบุคคล จึงกราบทูลว่า :-
" พืชแม้มาก อันบุคคลหว่านแล้วในนาดอน
ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังชาวนาให้ยินดี ฉันใด,
ทานมากมาย อันบุคคลตั้งไว้ในหมู่ชนผู้ทุศีล ผล
ย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ยินดี ฉันนั้น
เหมือนกัน; พืชแม้เล็กน้อย อันบุคคลหว่านแล้วในนา
ดี เมื่อฝนหลั่งสายน้ำถูกต้อง (ตามกาล) ผลก็ย่อม
ยังชาวนาให้ยินดีได้ ฉันใด, เมื่อสักการะแม้เล็กน้อย
อันทายกทำแล้วในเหล่าท่านผู้มีศีล ผู้มีคุณคงที่
ผลก็ย่อมยังทายกให้ยินดีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน."
1. เทพบุตรอันบุคคลพึงบูชา.
ทานที่ให้ในทักขิไณยบุคคลมีผลมาก
ถามว่า " บุรพกรรมของอินทกเทพบุตรนั้น เป็นอย่างไร ? "
แก้ว่า " ได้ยินว่า อินทกเทพบุตรนั้นได้ให้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง
ที่เขานำมาแล้วเพื่อตน แก่พระอนิรุทธเถระผู้เข้าไปบิณฑบาตภายในบ้าน.
บุญของเธอนั้น มีผลมากกว่าทานที่อังกุรเทพบุตร ทำแถวเตาไฟยาวตั้ง
12 โยชน์ ให้แล้วตั้งหมื่นปี, เพราะเหตุนั้น อินทกเทพบุตรจึงกราบทูล
อย่างนั้น. " เมื่ออินทกเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาตรัสว่า
" อังกุระ การเลือกเสียก่อนแล้วให้ทานจึงควร, ทานนั้นย่อมมีผลมากด้วย
อาการอย่างนี้ ดุจพืชที่เขาหว่านดีในนาดีฉะนั้น; แต่เธอหาได้ทำอย่าง
นั้นไม่, เหตุนั้น ทานของเธอจึงไม่มีผลมาก " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อ
ความนี้ให้แจ่มแจ้งจึงตรัสว่า :-
" ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด มีผลมาก,
บุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตนั้น; การเลือกให้ อัน
พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว, ทานที่บุคคลให้แล้วใน
ทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกคือหมู่สัตว์
ที่ยังเป็นอยู่นี้ มีผลมาก เหมือนพืชที่บุคคลหว่านแล้ว
ในนาดีฉะนั้น. "
เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป ได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า:-
" นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่
สัตว์นี้มีราคะเป็นเครื่องประทุษร้าย, เพราะเหตุนั้นแล
ทานที่บุคคลให้แล้ว ในท่านที่มีราคะไปปราศแล้ว
ทั้งหลาย จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่อง
ประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีโทสะเป็นเครื่องประทุษร้าย
เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้วในท่านผู้มีโท
สะไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก. นาทั้งหลาย
มีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีโมหะเป็น
เครื่องประทุษร้าย. เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคล
ให้แล้วในท่านผู้มีโมหะไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมี
ผลมาก. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย
หมู่สัตว์นี้มีความอยากเป็นเครื่องประทุษร้าย เพราะ
เหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว ในท่านผู้มีความ
อยากไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก. "
ในกาลจบเทศนา อังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตร ดำรงอยู่แล้ว
ในโสดาปัตติผล. (ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนแล้ว).
พระศาสดาเสด็จไปโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์
ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางเทวบริษัท ทรง
ปรารภพระมารดาเริ่มตั้งอภิธรรมปิฎกว่า " กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา,
อพฺยากตา ธมฺมา " ดังนี้เป็นต้น. ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโดยนัยนี้
เรื่อยไปตลอด 3 เดือน. ก็แลทรงแสดงธรรมอยู่ ในเวลาภิกษาจาร
ทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิต ด้วยทรงอธิษฐานว่า " พุทธนิรมิตนี้จงแสดง
ธรรมชื่อเท่านี้ จนกว่าเราจะมา " แล้วเสด็จไปป่าหิมพานต์ ทรงเคี้ยว
ไม้สีฟันชื่อนาคลตา บ้วนพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่
อุตตรกุรุทวีป ได้ประทับนั่งทำภัตกิจในโรงกว้างใหญ่แล้ว. พระสารีบุตร-