เมนู

การทำกรรมชื่อเห็นปานนี้ต่อหน้าของพวกที่มีราคะไม่ไปปราศจึงจะควร,
ส่วนตถาคตละกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นได้เเล้ว, พวกเจ้าจักนำเราไปใน
อำนาจของตน ด้วยเหตุอะไรเล่า ? " ดังนี้ แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถา
เหล่านี้ว่า :-
1. ยสฺส ชิตํ นาวชียติ
ชิตมสฺส โนยาติ โกจิ โลเก
ตํ พุทฺธํ อนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ.
ยสฺส ชาลินี วิสตฺติกา
ตณฺหา นตฺถิ กุหิญฺจิ เนตเว
ตํ พุทฺธํ อนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ.
" กิเลสชาตมีราคะเป็นต้น อันพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระองค์ใดชนะแล้ว อันพระองค์ย่อมไม่
กลับแพ้, กิเลสหน่อยหนึ่งในโลก ย่อมไปหากิเลส-
ชาตที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นชนะแล้วไม่ได้. พวก
เจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มีอารมณ์ไม่มีที่
สุด ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ? ตัณหามี
ข่ายซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีแก่พระพุทธเจ้า
พระองค์ใด เพื่อนำไปในภพไหน ๆ, พวกเจ้าจักนำ
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มี
ร่องรอยไป ด้วยร่องรอยอะไร ? "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ยสฺส ชิตํ นาวชิยติ ความว่า
กิเลสชาตมีราคะเป็นต้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว
ด้วยมรรคนั้น ๆ อันพระองค์ ย่อมไม่กลับแพ้ คือชื่อว่าชนะแล้วไม่ดี
หามิได้ เพราะไม่กลับฟุ้งขึ้นอีก.
บทว่า โนยาติ ตัดเป็น น อุยฺยาติ แปลว่า ย่อมไม่ไปตาม.
อธิบายว่า บรรดากิเลสมีราคะเป็นต้น แม้กิเลสอย่างหนึ่งไร ๆ ในโลก
ชื่อว่ากลับไปข้างหลังไม่มี คือไม่มีความกิเลสชาตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ใดทรงชนะแล้ว.1
บทว่า อนนฺคโคจรํ ความว่า ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ด้วยสามารถ
แห่งพระสัพพัญญุตญาณ มีอารมณ์หาที่สุดมิได้.
สองบทว่า เกน ปเทน เป็นต้น ความว่า บรรดารอยมีรอย คือ
ราคะเป็นต้น แม้รอยหนึ่ง ไม่มีแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด, พวก
เจ้าจักนำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นไป ด้วยร่องรอยอะไร คือ ก็
แม้ร่องรอยสักอย่างหนึ่ง ไม่มีแก่พระพุทธเจ้า, พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้า
นั้น ผู้ไม่มีร่องรอยไป ด้วยร่องรอยอะไร ?
วินิจฉัยในคาถาที่สอง. ขึ้นชื่อว่าตัณหานั่น ชื่อว่า ชาลินี เพราะ
วิเคราะห์ว่า มีข่ายบ้าง มีปกติทำซึ่งข่ายบ้าง เปรียบด้วยข่ายบ้าง เพราะ
อรรถว่า รวบรัดตรึงตราผูกมัดไว้, ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะเป็นธรรม-
ชาติมักซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น เพราะเปรียบด้วยอาหาร
อันมีพิษ เพราะเปรียบด้วยดอกไม้มีพิษ เพราะเปรียบด้วยผลไม้มีพิษ
1. กิเลสเหล่าอื่น ติดตานกิเลสที่ทรงชนะแล้วเนื่องกันเป็นสาย ๆ ไม่มี.

เพราะเปรียบด้วยเครื่องบริโภคมีพิษ. อธิบายว่า ตัณหาเห็นปานนั้น
ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพื่อนำไปในภพไหน ๆ. พวกเจ้าจักนำ
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ?
ในกาลจบเทศนา ธัมมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาเป็นอันมาก. แม้ธิดา
มารก็อันตรธานไปในที่นั้นนั่นแล.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า " มาคัน-
ทิยะ ในกาลก่อน เราได้เห็นธิดามารทั้งสามเหล่านี้ผู้ประกอบด้วยอัตภาพ
เช่นกับแท่งทอง ไม่แปดเปื้อนด้วยของโสโครก มีเสมหะเป็นต้น. แม้
ในกาลนั้น เราไม่ได้มีความพอใจในเมถุนเลย. ก็สรีระแห่งธิดาของ
ท่านเต็มไปด้วยซากศพ คืออาการ 32 เหมือนหม้อที่ใส่ของไม่สะอาด
อันตระการตา ณ ภายนอก. แม้ถ้าเท้าของเราพึงเป็นเท้าที่แปดเปื้อนด้วย
ของไม่สะอาดไซร้. และธิดาของท่านนี้พึงยืนอยู่ที่ธรณีประตู; ถึงอย่างนั้น
เราก็ไม่พึงถูกต้องสรีระของนางด้วยเท้า " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" แม้ความพอใจในเมถุน ไม่ได้มีแล้ว เพราะ
เห็น นางตัณหา นางอรดี และนางราคา, เพราะ
เห็นสรีระ แห่งธิดาของท่านนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยมูตร
และกรีส. (เราจักมีความพอใจในเมถุนอย่างไรได้ ?)
เราย่อมไม่ปรารถนาเพื่อจะแตะต้องสรีระธิดาของท่าน
นั้น แม้ด้วยเท้า."

ในเวลาจบเทศนา เมียผัวทั้งสองตั้งอยู่แล้วในอนาคามิผล ดังนี้แล.
เรื่องมารธิดา จบ.

2. เรื่องยมกปาฏิหารย์ [149]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาทรงปรารภเทวดาและพวกมนุษย์เป็นอันมาก ที่พระ-
ทวารแห่งสังกัสสนคร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เย ฌานปฺปสุตา
ธีรา "
เป็นต้น.
ก็เทศนาตั้งขึ้นแล้วในกรุงราชคฤห์.

เศรษฐีได้ไม้จันทน์ทำบาตร


ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ ให้ขึงข่ายมี
สัณฐานคล้ายขวด เพื่อความปลอดภัย1 และเพื่อรักษาอาภรณ์เป็นต้น ที่
หลุดไปด้วยความพลั้งเผลอแล้ว เล่นกีฬาทางน้ำในแม่น้ำคงคา.
ในกาลนั้น ต้นจันทน์แดงต้นหนึ่ง เกิดขึ้นที่ริมฝั่งตอนเหนือของ
แม่น้ำคงคา มีรากถูกน้ำในแม่น้ำคงคาเซาะโค่นหักกระจัดกระจายอยู่บน
หินเหล่านั้น ๆ. ครั้งนั้นปุ่ม ๆ หนึ่งมีประมาณเท่าหม้อ ถูกหินครูดสี ถูก
คลื่นน้ำซัด เป็นของเกลี้ยงเกลา ลอยไปโดยลำดับ อันสาหร่ายรวบรัด
มาติดที่ข่ายของเศรษฐีนั้น.
เศรษฐีกล่าวว่า " นั่นอะไร ? " ได้ยินว่า " ปุ่มไม้ " จึงให้นำ
ปุ่มไม้นั้นมาให้ถากด้วยปลายมีด เพื่อจะพิจารณาว่า " นั่นชื่ออะไร ? "
ในทันใดนั่นเอง จันทน์แดงมีสีดังครั่งสดก็ปรากฏ. ก็เศรษฐียัง
ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ. ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ. วางตนเป็นกลาง; เขาคิดว่า
" จันทน์แดงในเรือนของเรามีมาก. เราจะเอาจันทน์แดงนี้ทำอะไรหนอ
แล ? " ทีนั้นเขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " ในโลกนี้ พวกที่กล่าวว่า 'เรา
1. เพื่อเปลื้องอันตราย.

เป็นพระอรหันต์ ' มีอยู่มาก. เราไม่รู้จักพระอรหันต์แม้สักองค์หนึ่ง; เรา
จักให้ประกอบเครื่องกลึงไว้ในเรือน ให้กลึงบาตรแล้ว ใส่สาแหรกห้อย
ไว้ในอากาศประมาณ 60 ศอก โดยเอาไม้ไผ่ต่อกันขึ้นไปแล้ว จะบอกว่า
' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่, จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาบาตรนี้; ผู้โคจัก
ถือเอาบาตรนั้นได้ เราพร้อมด้วยบุตรภรรยา จักถึงผู้นั้นเป็นสรณะ. "
เขาให้กลึงบาตรโดยทำนองที่คิดไว้นั่นแหละ ให้ยกขึ้นโดยเอาไม้ไผ่ต่อ ๆ
กันขึ้นไปแล้ว กล่าวว่า " ในโลกนี้ ผู้ใดเป็นพระอรหันต์. ผู้นั้นจงมา
ทางอากาศ ถือเอาบาตรนี้. "

ครูทั้ง 6 อยากได้บาตรไม้จันทน์


ครูทั้งหกกล่าวว่า " บาตรนั้น สมควรแก่พวกข้าพเจ้า. ท่านจง
ให้บาตรนั้นแก่พวกข้าพเจ้าเสียเถิด. " เศรษฐีนั้นกล่าวว่า " พวกท่าน
จลมาทางอากาศแล้วเอาไปเถิด. "
ในวันที่ 6 นิครนถ์นาฎบุตรส่งพวกอันเตวาสิกไปด้วยสั่งว่า " พวก
เจ้าจงไป. จงพูดกะเศรษฐีอย่างนั้นว่า " บาตรนั่น สมควรแก่อาจารย์ของ
พวกข้าพเจ้า. ท่านอย่าทำการมาทางอากาศเพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย
เลย. นัยว่า ท่านจงให้บาตรนั่นเถิด. " พวกอันเตวาสิกไปพูดกะเศรษฐี
อย่างนั้นแล้ว. เศรษฐีกล่าวว่า " ผู้ที่สามารถมาทางอากาศแล้วถือเอาได้
เท่านั้น จงเอาไป. "

นาฏบุตรออกอุบายเอาบาตร


นาฏบุตรเป็นผู้ปรารถนาจะไปเอง จึงได้ให้สัญญาแก่พวกอันเต-
วาสิกว่า " เราจักยกมือและเท้าข้างหนึ่ง เป็นทีว่าปรารถนาจะเหาะ,
พวกเจ้าจงร้องบอกเราว่า " ท่านอาจารย์ ท่านจะทำอะไร ? ท่านอย่าแสดง
ความเป็นพระอรหันต์ที่ปกปิดไว้ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ แก่มหาชนเลย '

ดังนี้แล้ว จงพากันจับเราที่มือและเท้าดึงไว้ ให้ล้มลงที่พื้นดิน. " เขาไป
ในที่นั้นแล้ว กล่าวกะเศรษฐีว่า " มหาเศรษฐี บาตรนี้สมควรแก่เรา.
ไม่สมควรแก่ชนพวกอื่น. ท่านอย่าชอบใจการเหาะขึ้นไปในอากาศของเรา
เพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย. จงให้บาตรแก่เราเถิด. "
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด.
ลำดับนั้น นาฏบุตรกล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงหลีกไป ๆ "
กันพวกอันเตวาสิกออกไปแล้ว กล่าวว่า " เราจักเหาะขึ้นไปในอากาศ
ดังนี้แล้ว ก็ยกมือและเท้าขึ้นข้างหนึ่ง. ทีนั้น พวกอันเตวาสิกกล่าวกับ
อาจารย์ว่า " ท่านอาจารย์ ท่านจะทำชื่ออะไรกันนั่น ? ประโยชน์อะไร
ด้วยคุณที่ปกปิดไว้ อันท่านแสดงแก่มหาชน เพราะเหตุแห่งบาตรไม้นี้ "
แล้วช่วยกันจับนาฏบุตรนั้นที่มือและเท้า ดึงมาให้ล้มลงแผ่นดิน. เขา
บอกกะเศรษฐีว่า " มหาเศรษฐี อันเตวาสิกเหล่านี้ ไม่ให้เหาะ, ท่าน
จงให้บาตรแก่เรา. "
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปถือเอาเถิด.
พวกเดียรถีย์ เเม้พยายามด้วยอาการอย่างนั้นสิ้น 6 วันแล้ว ยังไม่
ได้บาตรนั้นเลย.

ชาวกรุงเข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์


ในวันที่ 7 ในกาลที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระปิณโฑล-
ภารทวาชะไปยืนบนหินดาดแห่งหนึ่งแล้วห่มจีวร ด้วยตั้งใจว่า " จักเที่ยว
ไปเพื่อบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พวกนักเลงคุยกันว่า " ชาวเราเอ๋ย ใน
กาลก่อน ครูทั้ง 6 กล่าวว่า ' พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก. ก็เมื่อเศรษฐี
ชาวกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรขึ้นไว้แล้วกล่าวว่า ' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่,

จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด' วันนี้เป็นวันที่ 7 แม้สักคนหนึ่งชื่อว่า
เหาะขึ้นไปในอากาศด้วยแสดงตนว่า ' เราเป็นพระอรหันต์ ' ก็ไม่มี; วันนี้
พวกเรารู้ความที่พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว. "
ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า " อาวุโส ภารทวาชะ ท่านได้ยินถ้อยคำของ
พวกนักเลงเหล่านั้นไหม " พวกนักเลงเหล่านี้ พูดเป็นทีว่าจะย่ำยีพระพุทธ-
ศาสนา; ก็ท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก, ท่านจงไปเถิด จงมาทางอากาศ
แล้วถือเอาบาตรนั้น. "
ปิณโฑลภารทวาชะ. อาวุโส โมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าบรรดา
สาวกผู้มีฤทธิ์ ท่านจงถือเอาบาตรนั้น. แต่เมื่อท่านไม่ถือเอา ผมจักถือเอา.

พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์


เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนั้นว่า " ท่านจงถือเอาเถิดผู้มี
อายุ " ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าจตุตถฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ออก
แล้ว เอาปลายเท้าคีบหินดาดประมาณ 1 คาวุต ให้ขึ้นไปในอากาศเหมือน
ปุยนุ่น แล้วหมุนเวียนไปในเบื้องบนพระนครราชคฤห์ 7 ครั้ง. หินดาด
นั้นปรากฏดังฝาละมีสำหรับปิดพระนครไว้ประมาณ 3 คาวุต. พวกชาว
พระนครกลัว ร้องว่า " หินจะตกทับข้าพเจ้า " จึงทำเครื่องกั้นมีกระด้ง
เป็นต้นไว้บนกระหม่อม แล้วซุกซ่อนในที่นั้น ๆ. ในวาระที่ 7 พระ-
เถระทำลายหินดาด แสดงตนแล้ว.
มหาชนเห็นพระเถระแล้ว กล่าวว่า " ท่านปิณโฑลภารทวาชะผู้
เจริญ ท่านจงจับหินของท่านไว้ให้มั่น, อย่าให้พวกข้าพเจ้าทั้งหมด
พินาศเสียเลย. "