เขาได้ถวายผ้าแม้นั้นแด่พระตถาคตเหมือนกัน พระราชาจึงรับสั่ง
ให้พระราชทานทำให้เป็นทวีคูณอีก คือ 2 คู่ 4 คู่ 8 คู่ 16 คู่. เขาได้
ถวายผ้าแม้เหล่านั้นแด่พระตถาคตนั้นเทียว. ต่อมา พระราชารับสั่งให้
พระราชทานผ้าสาฎก 32 คู่แก่เขา.
พราหมณ์เพื่อจะป้องกันวาทะว่า " พราหมณ์ไม่ถือเอาเพื่อตน สละ
ผ้าที่ได้แล้ว ๆ เสียสิ้น " จึงถือเอาผ้าสาฎก 2 คู่จากผ้า 32 คู่นั้นคือ " เพื่อ
ตน 1 คู่ เพื่อนางพราหมณี 1 คู่ " ได้ถวายผ้าสาฎก 30 คู่แด่พระตถาคต
ทีเดียว. ฝ่ายพระราชา เมื่อพราหมณ์นั้นถวายถึง 7 ครั้ง ได้มีพระราช
ประสงค์จะพระราชทานอีก. พราหมณ์ชื่อมหาเอกสาฎก ในกาลก่อน
ได้ถือเอาผ้าสาฎก 2 คู่ในจำนวนผ้าสาฎก 64 คู่. ส่วนพราหมณ์ชื่อจูเฬก-
สาฎกนี้ ได้ถือเอาผ้าสาฎก 2 คู่ ในเวลาที่ตนได้ผ้าสาฎก 32 คู่.
พระราชา ทรงบังคับพวกราชบุรุษว่า " พนาย พราหมณ์ทำสิ่งที่ทำ
ได้ยาก. ท่านทั้งหลายพึงให้นำเอาผ้ากัมพล 2 ผืนภายในวังของเรามา."
พวกราชบุรุษได้กระทำอย่างนั้น. พระราชารับสั่งให้พระราชทานผ้ากัมพล
2 ผืนมีค่าแสนหนึ่งแก่เขา. พราหมณ์คิดว่า " ผ้ากัมพลเหล่านี้ไม่สมควร
แตะต้องที่สรีระของเรา. ผ้าเหล่านั้นสมควรแก่พระพุทธศาสนาเท่านั้น "
จึงได้ขึงผ้ากัมพลผืนหนึ่ง ทำให้เป็นเพดานไว้เบื้องบนที่บรรทมของพระ-
ศาสดาภายในพระคันธกุฎี. ขึงผืนหนึ่งทำให้เป็นเพดานในที่ทำภัตกิจของ
ภิกษุผู้ฉันเป็นนิตย์ในเรือนของตน. ในเวลาเย็น พระราชาเสด็จไปสู่
สำนักของพระศาสดา ทรงจำผ้ากัมพลได้แล้ว ทูลถามว่า " ใครทำการ
บูชา พระเจ้าข้า ? " เมื่อพระศาสดาตรัสตอบว่า " พราหมณ์ชื่อเอกสาฎก "
ดังนี้แล้ว ทรงดำริว่า " พราหมณ์เลื่อมใสในฐานะที่เราเลื่อมใสเหมือน
กัน " รับสั่งให้พระราชทานหมวด 4 แห่งวัตถุทุกอย่าง จนถึงร้อยแห่ง
วัตถุทั้งหมด ทำให้เป็นอย่างละ 4 แก่พราหมณ์นั้น อย่างนี้ คือช้าง 4
ม้า 4 กหาปณะ1สี่พัน สตรี 4 ทาสี 4 บุรุษ 4 บ้านส่วย 4 ตำบล.
รีบทำกุศลดีกว่าทำช้า
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า " แม้ ! กรรมของพราหมณ์
ชื่อจูเฬกสาฎก น่าอัศจรรย์. ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เขาได้หมวด 4 แห่ง
วัตถุทุกอย่าง. กรรมอันงามเขาทำในที่อันเป็นเนื้อนาในบัดนี้นั่นแล ให้
ผลในวันนี้ทีเดียว. "
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย
นั่งสนทนากันด้วยกถาอะไรเล่า ? " เมื่อพวกภิกษุกราบทูลว่า " ด้วยกถาชื่อ
นี้ พระเจ้าข้า " ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเอกสาฎกนี้จักได้อาจเพื่อถวาย
แก่เราในปฐมยามไซร้ เขาจักได้สรรพวัตถุอย่างละ 16, ถ้าจักได้อาจ
ถวายในมัชฌิมยามไซร้ เขาจักได้สรรพวัตถุอย่างละ 8, แต่เพราะถวาย
ในเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้สรรพวัตถุอย่างละ 4, แท้จริง กรรมงาม
อันบุคคลผู้เมื่อกระทำ ไม่ให้จิตที่เกิดขึ้นเสื่อมเสียควรทำในทันทีนั้นเอง,
ด้วยว่า กุศลที่บุคคลทำช้า เมื่อให้สมบัติ ย่อมให้ช้าเหมือนกัน เพราะ
ฉะนั้น พึงทำกรรมงามในลำดับแห่งจิตตุปบาททีเดียว " เมื่อทรงสืบอนุ-
สนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
1. อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธิ หิ กรโต ปุญฺญํ ปาปสฺมึ รมตี มโน
ทนฺธิ หิ กรโต ปุญฺญํ ปาปสฺมึ รมตี มโน.
1. เป็นชื่อเงินตราชนิดหนึ่ง ซึ่งในอินเดียโบราณ มีค่าเท่ากับ 4 บาท.
"บุคคลพึงรีบขวนขวายในความดี, พึงห้ามจิต
เสียจากบาป, เพราะว่า เมื่อบุคคลทำความดีช้าอยู่,
ใจจะยินดีในบาป."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิตฺเรถ ความว่า พึงทำด่วนๆ คือ
เร็ว ๆ. จริงอยู่ คฤหัสถ์เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า " จักทำกุศลบางอย่าง ในกุศล
ทานทั้งหลายมีถวายสลากภัตเป็นต้น " ควรทำไว ๆทีเดียว ด้วยคิดว่า
เราจะทำก่อน เราจะทำก่อน " โดยประการที่ชนเหล่าอื่นจะไม่ได้โอกาส
ฉะนั้น. หรือบรรพชิต เมื่อทำวัตรทั้งหลายมีอุปัชฌายวัตรเป็นต้น ไม่ให้
โอกาสแก่ผู้อื่น ควรทำเร็ว ๆ ทีเดียว ด้วยคิดว่า " เราจะทำก่อน เราจะ
ทำก่อน."
สองบทว่า ปาปา จิตฺตํ ความว่า ก็บุคคลพึงห้ามจิตจากบาปกรรม
มีกายทุจริตเป็นต้น หรือจากอกุศลจิตตุปบาท ในที่ทุกสถาน.
สองบทว่า ทนฺธิ หิ กรโต ความว่า ก็ผู้ใดคิดอยู่อย่างนั้นว่า " เรา
จักให้, จักทำ, ผลนี้จักสำเร็จแก่เราหรือไม่ " ชื่อว่าทำบุญช้าอยู่ เหมือน
บุคคลเดินทางลื่น. ความชั่วของผู้นั้นย่อมได้โอกาส เหมือนมัจเฉรจิต
พันดวงของพราหมณ์ชื่อเอกสาฎกฉะนั้น. เมื่อเช่นนั้นใจของเขาย่อมยินดี
ในความชั่ว, เพราะว่าในเวลาที่ทำกุศลกรรมเท่านั้นจิตย่อมยินดีในกุศล
กรรม, พ้นจากนั้นแล้ว ย่อมน้อมไปสู่ความชั่วได้แท้.
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎก จบ.
2. เรื่องพระเสยยสกัตเถระ [96]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเสยยส-
กัตเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปาปญฺเจ ปุริโส กยิรา" เป็นต้น.
พระเถระทำปฐมสังฆาทิเสส
ดังได้สดับมา พระเสยยสกัตเถระนั้น เป็นสัทธิวิหาริกของพระ-
โลฬุทายีเถระ บอกความไม่ยินดี1ของตนแก่พระโลฬุทายีนั้น ถูกท่าน
ชักชวนในการทำปฐมสังฆาทิเสส เมื่อความไม่ยินดีเกิดทวีขึ้น ได้ทำกรรม
นั้นแล้ว.
กรรมชั่วให้ทุกข์ในภพทั้ง
พระศาสดา ได้สดับกิริยาของเธอ รับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ตรัส
ถามว่า " ได้ยินว่า เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ ? " เมื่อเธอทูลว่า " อย่างนั้น
พระเจ้าข้า ? " จึงตรัสว่า " แน่ะโมฆบุรุษ เหตุไร เธอจึงได้ทำกรรมหนัก
อันไม่สมควรเล่า ? " ทรงติเตียนโดยประการต่าง ๆ ทรงบัญญัติสิกขาบท
แล้ว ตรัสว่า " ก็กรรมเห็นปานนี้ เป็นกรรมยังสัตว์ให้เป็นไปเพื่อทุกข์
อย่างเดียว ทั้งในภพนี้ทั้งในภพหน้า " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
2. ปาปญฺเจ ปุริโส กยิรา น นํ กยิรา ปุนปฺปุนํ
น ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย.
"ถ้าบุรุษพึงทำบาปไซร้, ไม่ควรทำบาปนั้น
บ่อย ๆ ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น. เพราะว่า
ความสั่งสมบาปเป็นเหตุให้เกิดทุกข์."
1. อนภิรดี บางแห่งแปลว่า ความกระสัน.
แก้อรรถ
เนื้อความแห่งพระคาถามนั้นว่า " ถ้าบุคคลพึงทำกรรมลามกคราว
เดียว. ควรพิจารณาในขณะนั้นแหละ สำเหนียกว่า " กรรมนี้ไม่สมควร
เป็นกรรมหยาบ " ไม่ควรทำกรรมนั้นบ่อย ๆ. พึงบรรเทาเสีย ไม่ควรทำ
แม้ซึ่งความพอใจ หรือความชอบใจในบาปกรรมนั้น ซึ่งจะพึงเกิดขึ้น
เลย.
ถามว่า " เพราะเหตุไร ? "
แก้ว่า " เพราะว่า ความสั่งสม คือความพอกพูนบาป เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์ คือย่อมนำแต่ทุกข์มาให้ ทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกหน้า. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มี
โสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเสยยสกัตเถระ จบ.
3. เรื่องนางลาชเทวธิดา [97]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางลาช-
เทวธิดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุญฺญญฺเจ ปุริโส กยิรา" เป็นต้น.
เรื่องเกิดขึ้นแล้วในเมืองราชคฤห์.
หญิงถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสป
ความพิสดารว่า ท่านพระมหากัสสป อยู่ที่ปิปผลิคูหา เข้าฌาณ
แล้ว ออกในวันที่ 7 ตรวจดูที่เที่ยวไปเพื่อภิกษาด้วยทิพยจักษุ เห็น
หญิงรักษานาข้าวสาลีคนหนึ่ง เด็ดรวงข้าวสาลีทำข้าวตอกอยู่ พิจารณาว่า
" หญิงนี้มีศรัทธาหรือไม่หนอ " รู้ว่า " มีศรัทธา " ใคร่ครวญว่า " เธอ
จักอาจ เพื่อทำการสงเคราะห์แก่เราหรือไม่หนอ ? " รู้ว่า " กุลธิดาเป็น
หญิงแกล้วกล้า จักทำการสงเคราะห์เรา, ก็แลครั้นทำแล้ว จักได้สมบัติ
เป็นอันมาก " จึงครองจีวรถือบาตร ได้ยืนอยู่ที่ใกล้นาข้าวสาลี. กุลธิดา
พอเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส มีสระรีอันปีติ 5 อย่างถูกต้องแล้ว กล่าวว่า
นิมนต์หยุดก่อน เจ้าข้า " ถือข้าวตอกไปโดยเร็ว เกลี่ยลงในบาตรของ
พระเถระแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางค1ประดิษฐ์ ได้ทำความปรารถนาว่า " ท่าน
เจ้าข้า ขอดิฉันพึงเป็นผู้มีสวนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว. "
จิตเลื่อมใสในทานไปเกิดในสวรรค์
พระเถระได้ทำอนุโมทนาว่า "ความปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ."
ฝ่ายนางไหว้พระเถระแล้ว พลางนึกถึงทานที่ตนถวายแล้วกลับไป. ก็ใน
1. คำว่า เบญจางคประดิษฐ์ แปลว่า ตั้งไว้เฉพาะซึ่งองค์ 5 หมายความว่า ไหว้ได้องค์ 5 คือ
หน้าผาก 1 ฝ่ามือทั้ง 2 และเข่าทั้ง 2 จดลงที่พื้น จึงรวมเป็น 5.
หนทางที่นางเดินไป บนคันนา มีงูพิษร้ายนอนอยู่ในรูแห่งหนึ่ง งูไม่
อาจขบกัดแข้งพระเถระอันปกปิดด้วยผ้ากาสายะได้. นางพลางระลึกถึง
ทานกลับไปถึงที่นั้น. งูเลื้อยออกจากรู กัดนางให้ล้มลง ณ ที่นั้นเอง
นางมีจิตเลื่อมใส ทำกาละแล้ว ไปเกิดในวิมานทองประมาณ 30 โยชน์
ในภพดาวดึงส์ มีอัตภาพประมาณ 3 คาวุต1 ประดับเครื่องอลังการทุก
อย่าง เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น.
วิธีทำทิพยสมบัติให้ถาวร
นางนุ่งผ้าทิพย์ประมาณ 12 ศอกผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แวดล้อม
ด้วยนางอัปสรตั้งพัน เพื่อประกาศบุรพกรรม จึงยืนอยู่ที่ประตูวิมาน
อันประดับด้วยขันทองคำ เต็มด้วยข้าวตอกทองคำห้อยระย้าอยู่ ตรวจดู
สมบัติของตน ใคร่ครวญด้วยทิพยจักษุว่า " เราทำกรรมสิ่งไรหนอ จึง
ได้สมบัตินี้ " ได้รู้ว่า " สมบัตินี้เราได้เเล้ว เพราะผลแห่งข้าวตอกที่เรา
ถวายพระผู้เป็นเจ้ามหากัสสปเถระ. " นางคิดว่า " เราได้สมบัติเห็นปานนี้
เพราะกรรมนิดหน่อยอย่างนี้ บัดนี้เราไม่ควรประมาท. เราจักทำวัตร
ปฏิบัติแก่พระผู้เป็นเจ้า ทำสมบัตินี้ให้ถาวร " จึงถือไม้กวาด และกระเช้า
สำหรับเทมูลฝอยสำเร็จด้วยทองไปกวาดบริเวณของพระเถระ แล้วตั้งน้ำ
ฉันน้ำใช้ไว้แต่เช้าตรู่.
พระเถระเห็นเช่นนั้น สำคัญว่า " จักเป็นวัตรที่ภิกษุหนุ่มหรือสามเณร
บางรูปทำ. " แม้ในวันที่ 2 นางก็ได้ทำอย่างนั้น. ผ่ายพระเถระก็สำคัญ
เช่นนั้นเหมือนกัน. แต่ในวันที่ 3 พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดของนาง
1. คาวุต 1 ยาวเท่ากับ 100 เส้น.