เมนู

ได้สาธยายถึง 4 เดือน แต่ไม่อาจทำให้คล่องแคล่วได้.
ครั้งนั้น พระเถระ (หลวงพี่) จึงขับไล่พระจูฬบันถกนั้น ไปเสียจาก
วิหาร ด้วยกล่าวว่า เธอเป็นคนอาภัพในพระศาสนานี้. ท่านได้ยืนร้องไห้อยู่
ที่ซุ้มประตู. คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูพุทธเวไนยสัตว์ ทอด
พระเนตรเห็นท่านแล้ว จึงเสด็จไปใกล้ ๆ ท่าน ดุจเสด็จเที่ยวไปยังวิหารจาริก
ตรัสว่า จูฬบันถก ! เธอร้องให้ทำไม ท่านจึงกราบทูลเรื่องราวนั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประทานท่อนผ้าอันสะอาดแก่ท่าน
ตรัสว่า เธอจงลูบคลำผ้านี้ว่า ผ้าเช็ดธุลี. ท่านรับว่า สาธุ แล้ว นั่งในที่อยู่ของ
ตนลูบคลำที่สุดด้านหนึ่งแห่งผ้านั้น. ที่ที่ถูกลูบคลำนั้น ได้กลายเป็นสีดำ
ท่านกลับ ได้ความสลดใจว่า ผ้าชื่อว่าแม้บริสุทธิ์อย่างนี้ อาศัยอัตภาพนี้ กลับ
กลายเป็นสีดำ ดังนี้ แล้ว จึงปรารภวิปัสสนา. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทราบว่า ท่านปรารภความเพียร ได้ทรงภาษิตโอภาสคาถานี้ว่า อธิเจตโส
เป็นต้น . พระเถระบรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถา. เพราะเหตุนั้น พระ
เถระจึงเคารพรักคาถานี้ ตามปรกติเทียว. ท่านกล่าวคาถานี้นั่นแล เพื่อให้
ทราบความเคารพรักคาถานี้นั้น และนำพุทธพจน์อื่นเป็นอันมากมากล่าวอยู่ใน
ระหว่าง. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า กล่าว
อุทานั้นนั่นแล และพระพุทธพจน์อย่างอื่นเป็นอันมาก.
สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทในภิกษุ
สงฆ์. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ท่านทั้งนั้น. และแม้สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน
เหมือนปทโสธรรมสิกขาบทนั่นแล.
อัตถังคตสิกขาบทที่ 2 จบ

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 3


เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[429] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
นิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ สักกชนบท ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์
เข้าไปสู่สำนัก ภิกษุณี แล้วกล่าวสอนภิกษุณีฉัพพัคคีย์อยู่.
ภิกษุณีทั้งหลายได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีฉัพพัคคีย์ว่า มาเถิด แม่เจ้า
ทั้งหลาย พวกเราจักไปรับโอวาทกัน.
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์พูดว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกเราจะต้องไปเพราะเหตุ
แห่งโอวาททำไม เพราะพระคุณเจ้าฉัพพัคคีย์กล่าวสอนพวกเราอยู่ ที่นี้แล้ว.
ภิกษุณีทั้งหลายต่างพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระ-
ฉัพพัคคีย์จึงเข้ามากล่าวสอนพวกภิกษุณีถึงสำนักภิกษุณีเล่า แล้วแจ้งเรื่องนั้น
แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
พระฉัพพัคคีย์จึงได้เข้าไปกล่าวสอนพวกภิกษุณีถึงสำนักภิกษุณีเล่า แล้วกราบ
ทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าพวกเธอเข้าไปกล่าวสอนพวกภิกษุณี ถึงสำนักภิกษุณี จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้เข้าไปกล่าวสอนพวกภิกษุณีถึงสำนักภิกษุณีเล่า การกระทำของ
พวกเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ


32. 3. ก. อนึ่ง ภิกษุใด เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี แล้ว
สั่งสอนพวกภิกษุณี เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ

เรื่องพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี


[430] ต่อจากสมัยนั้นมา พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีอาพาธ พระเถระ
ทั้งหลาย พากันเข้าไปเยี่ยมพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถึงสำนัก แล้วได้กล่าว
คำนี้กะพระเถรีว่า ดูก่อนพระโคตมี ท่านยังพอทนได้หรือ ยังพอให้อัตภาพ
เป็นไปได้หรือ
พระมหาปชาบดีโคตมีตอบว่า ดิฉัน ทนไม่ไหว ให้อัตภาพเป็นไป
ไม่ได้เจ้าข้า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดแสดงธรรมเถิด เจ้าข้า.

ดูก่อนน้องหญิง การเข้ามาสู่สำนักภิกษุณีแล้วแสดงธรรมแก่ภิกษุณี
ยังไม่สมควรก่อน พระเถระเหล่านั้นกล่าวดังนี้แล้วต่างก็รังเกียจอยู่ ไม่แสดง
ธรรม.
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตร
จีวรเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถึงสำนัก ประทับนั่งบนอาสนะ
ที่เขาจัดถวายแล้วได้ตรัสดำนี้กะพระมหาปชาบดีโคตมีว่า ดูก่อนโคตมี เธอยัง
พอทนได้หรือ ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ
พระมหาปชาบดีโคตมีกราบทูลว่า เมื่อก่อนพระเถระทั้งหลายพากันมา
แสดงธรรมแก่หม่อมฉัน เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันจึงมีความสำราญ แต่บัดนี้
ท่านกล่าวว่าพระองค์ทรงห้ามแล้ว จึงรังเกียจไม่แสดง เพราะเหตุนั้นหม่อมฉัน
จึงไม่มีความสำราญ พระพุทธเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีให้
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากอาสนะ
เสด็จกลับ ครั้นนั้นแล้วพระองค์ทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้เข้าไปสู่สำนักภิกษุณีแล้วสั่งสอนภิกษุณีผู้อาพาธได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้

พระอนุบัญญัติ


72. 3. ข. อนึ่ง ภิกษุใด เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณีแล้ว
สั่งสอนพวกภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ สมัยในเรื่องนั้น
ดังนี้ คือ ภิกษุณีอาพาธ นี้เป็นสมัยในเรื่องนั้น.
เรื่องพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี จบ

สิกขาบทวิภังค์


[431] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่าที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า ที่อาศัยแห่งภิกษุณี ได้แก่ สถานเป็นที่พักแรมของพวก
ภิกษุณี แม้เพียงคืนเดียว.
บทว่า เข้าไป คือ ไปในสถานที่นั้น.
ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ 2 ฝ่าย.
บทว่า สั่งสอน ความว่า ภิกษุกล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 ประการ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นสมัย.
ที่ชื่อว่า ภิกษุณีอาพาธ ได้แก่ ภิกษุณีไม่สามารถจะไปรับโอวาท
หรือไปร่วมประชุมได้.

บทภาชนีย์


ติกปาจิตตีย์


[432] อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบันภิกษุณี เข้าไปสู่
ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณี ภิกษุสงสัย เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้น ไว้แต่
สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบันภิกษุณี เข้าไปสู่ที่อาศัย
แห่งภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

จตุกกทุกกฏ


ภิกษุสั่งสอนด้วยธรรมอย่างอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุสั่งสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบันภิกษุณี. สั่งสอน ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสงสัย ...ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ


อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบันภิกษุณี...ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร


[433] ภิกษุสั่งสอนในสมัย 1 ภิกษุให้อุเทศ 1 ภิกษุให้ปริปุจฉา 1
ภิกษุอันภิกษุณีกล่าวว่า นิมนต์ท่านสวดเถิด เจ้าข้า ดังนี้ สวดอยู่ 1 ภิกษุ
ถามปัญหา 1 ภิกษุถูกถามปัญหาแล้วแก้ 1 ภิกษุสั่งสอนเพื่อประโยชน์แห่ง
ผู้อื่น แต่ภิกษุณีฟังอยู่ด้วย 1 ภิกษุสั่งสอนสิกขมานา 1 ภิกษุสั่งสอนสามเณรี 1
ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 3 จบ

ภิกขุนีวรรคที่ 3


ภิกขุนีอุปสสยสิกขาบทที่ 3


วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 3 พึงทราบดังนี้.
ในคำเป็นต้นว่า อญฺญตฺรสมยา โอวทติ อาปตฺติ ปาจิตฺตยสฺส
เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยครุธรรม 8
เท่านั้น, กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นทุกกฏ.
สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์แท้ แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุสงฆ์. อนึ่ง เบื้องหน้าแต่นี้ไปในที่ทุก ๆ แห่งที่ท่านกล่าวคำว่า เอกโต
อุปสมฺปนฺนาย
ไว้ บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. บทที่เหลือ
ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา 1
ทางวาจากับจิต 1 เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัติวัชชระ
กายกรรม วจีกรรม มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
ภิกขุนีอุปัสสยสิกขาบทที่ 3 จบ

ข้อเบ็ดเตล็ดในสิกขาบทที่ 3


ก็แล ในสิกขาบทที่ 3 นี้ ท่านกล่าวปกิณกะไว้ในมหาปัจจรี ดัง
ต่อไปนี้ ถ้าว่า ภิกษุผู้มีได้รับสมมติ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เข้าไป
สู่สำนักภิกษุณี กล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 เป็นปาจิตตีย์ 3 ตัว. เมื่อสอนด้วย
ธรรมอื่น เป็นทุกกฏ 2 ตัว เป็นปาจิตตีย์ 1 ตัว.

คือ อย่างไร ? คือว่า ทุกกฏ มีการไม่ได้รับสมมติเป็นมูล 1 ทุกกฏ
มีการไปสู่สำนัก ภิกษุณีแล้ว กล่าวสอนด้วยธรรมอินเป็นมูล 1 ปาจิตตีย์ มีการ
กล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสคงคตแล้วเป็นมูล 1. ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อ
พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ไปในสำนักภิกษุณีนั้น กล่าวสอนอยู่ด้วยครุธรรม 8
เป็นอนาบัติ 1 เป็นปาจิตตีย์ 2 ตัว.
คือ อย่างไร ? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะเป็นผู้ได้รับสมมติ, เป็น
ปาจิตตีย์ 2 ตัว คือ ปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว
เป็นมูลตัว 1 ปาจิตตีย์ มีการไปกล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 เป็นมูลตัว 1.
ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นนั่นแล เป็นอนาบัติ 1 เป็นทุกกฏ 1 ตัว เป็น
ปาจิตตีย์ 1 ตัว.
คือ อย่างไร ? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะได้รับสมมติ เป็นทุกกฏ
มีการไปกล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นมูลตัว 1 เป็นปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอน
เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้วเป็นมูลตัว 1. แต่สำหรับภิกษุผู้ได้รับสมมติ และ
ไม่ได้รับสมมติ ไปกล่าวสอนในกลางวัน บัณฑิตพึงชักปาจิตตีย์ ที่มีการ
กล่าวสอนในเวลากลางคืนเป็นมูลออกตัว 1 แล้วทราบอาบัติและอนาบัติที่เหลือ
ฉะนี้แล.

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 4


เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[34] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเถระ
ทั้งหลายสั่งสอนพวกภิกษุณี ย่อมได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน-
ปัจจัยเภสัชบริขาร พระฉัพพัคคีย์พูดกันอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจ
สั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส บรรดาภิกษุที่
มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้พูด
อย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณี
เพราะเห็นแก่อามิส แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ได้ยินว่าพวกเธอพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี
ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้ จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่าน
สั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้เล่า การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว..

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้
ว่าดังนี้

พระบัญญัติ


73. 4. อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า พวกภิกษุสั่งสอน
พวกภิกษุณีเพราะเหตุอามิส เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องพระฉัพพัคคีย์

สิกขาบทวิภังค์


[435] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า เพราะเหตุอามิส คือ เพราะเหตุจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้
การบูชา.
[436] คำว่า กล่าวอย่างนี้ ความว่า ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ
ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอุปสัมบันผู้อันสงฆ์
สมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณีอย่างนี้ คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอน เพราะเหตุ
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ
ความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์


ติกปาจิตตีย์


[437] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม กล่าวอย่างนั้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์

กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย กล่าวอย่างนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม กล่าวอย่างนั้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฏ


[838] ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะ
ทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอุปสัมบันผู้อัน สงฆ์มิได้สมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี
อย่างนั้น คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้
การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[439] ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะ
ทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอนุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติก็ตาม มิได้สมมติก็ตาม ให้
ให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี อย่างนี้ คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอนเพราะเหตุจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ. ความเคารพ ความ
นับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

ติกทุกกฏ


[440] กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม... ต้อง
อาบัติทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย... ต้องอาบัติทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ... ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.

อนาปัตติวาร


[441] ภิกษุผู้กล่าวกะภิกษุผู้สั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ