12. เรื่องเจ้าสุปปพุทธศากยะ [106]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภเจ้าศากยะ
พระนามว่าสุปปพุทธะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น อนฺตลิกฺเข น
สมุทฺทมชฺเฌ " เป็นต้น.
เจ้าสุปปพุทธะแกล้งนั่งปิดทางเสด็จพระศาสดา
ดังได้สดับมา เจ้าสุปปพุทธะพระองค์นั้น ผูกอาฆาตในพระศาสดา
ด้วยเหตุ 2 ประการนี้ คือ พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวของเราออกบวช
ประการ 1 ให้ลูกชายของเราบวชแล้วตั้งอยู่ในฐานะแห่งผู้มีเวรต่อลูกชาย
นั้นประการ 1, วันหนึ่ง ทรงดำริว่า " บัดนี้ เราจักไม่ให้พระสมณโคดม
นั้นไปฉันยังสถานที่นิมนต์ " ดังนี้ จึงปิดทางเป็นที่เสด็จไป นั่งเสวย
น้ำจัณฑ์ในระหว่างทาง.
ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดามีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเสด็จมาที่นั้น พวก
มหาดเล็กทูลท้าวเธอว่า " พระศาสดาเสด็จมาแล้ว." ท้าวเธอตรัสว่า
" พวกเจ้าจงล่วงหน้าไปก่อน. จงบอกพระสมณะนั้นว่า 'พระสมณโคดม
องค์นี้ไม่เป็นใหญ่กว่าเรา เราจักไม่ให้ทางแก่พระสมณโคดมนั้น " แม้
พวกมหาดเล็กทูลเตือนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็คงประทับนั่งรับสั่งอย่างนั้นแล.
พระศาสดาไม่ได้หนทางจากสำนักของพระมาตุละ (ลุง) แล้วจึง
เสด็จกลับจากที่นั้น. แม้ท้าวเธอก็ส่งจารบุรุษ (คนสอดแนม) ไปคนหนึ่ง
ด้วยกำชับว่า " เจ้าจงไป ฟังคำของพระสมณโคดมนั้นแล้วกลับมา."
เจ้าสุปปพุทธะทำกรรมหนักจักถูกแผ่นดินสูบ
แม้พระศาสดาเสด็จกลับมา ทรงทำการแย้มพระโอฐ พระอานนท-
เถระทูลถามว่า " อะไรหนอแล ? เป็นปัจจัยแห่งกรรมคือการแย้มพระโอฐ
ให้ปรากฏ พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " อานนท์ เธอเห็นเจ้าสุปปพุทธะ
ไหม ? "
พระอานนทเถระ. ทูลว่า " เห็น พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา ตรัสว่า " เจ้าสุปปพุทธะนั้นไม่ให้ทางแก่พระพุทธเจ้า
ผู้เช่นเรา ทำกรรมหนักแล้ว ในวันที่ 7 แต่วันนี้ ท้าวเธอจักเข้าไปสู่
แผ่นดิน (ธรณีสูบ) ณ ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาท. "
เจ้าสุปปพุทธะมุ่งจับผิดพระศาสดาด้วยคำเท็จ
จารบุรุษได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ไปสู่สำนักของเจ้าสุปปพุทธะ ๆ
ตรัสถามว่า " หลานของเราเมื่อกลับไปพูดอะไรบ้าง ? " จึงกราบทูลตาม
ที่ตนได้ยินแล้ว.
ท้าวเธอได้สดับคำของจารบุรุษนั้นแล้ว ตรัสว่า " บัดนี้ โทษใน
การพูด (ผิด) แห่งหลานของเราย่อมไม่มี เธอตรัสคำใด คำนั้นต้อง
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทีเดียว. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น คราวนี้ เราจักจับผิดเธอ
ด้วยการพูดเท็จ. เพราะเธอไม่ตรัสกะเราโดยไม่เจาะจงว่า 'ท่านสุปป-
พุทธะจักถูกธรณีสูบในวันที่ 7 ' ตรัสว่า ' ท่านสุปปพุทธะจักถูกธรณีสูบ
ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาท ' ตั้งแต่วันนี้ไป เราจักไม่ไปสู่ที่นั้น.
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราไม่ถูกธรณีสูบในที่นั้นแล้ว จักข่มขี่เธอด้วยการ
พูดเท็จ. "
เจ้าสุปปพุทธะทรงทำการรักษาพระองค์อย่างแข็งแรง
ท้าวเธอรับสั่งให้พวกมหาดเล็กขนเครื่องใช้สอยของพระองค์ออก
ทั้งหมดไว้บนปราสาท 7 ชั้น ให้ชักบันได ปิดประตู ตั้งคนแข็งแรง
ประจำไว้ที่ประตู ประตูละ 2 คน ตรัสว่า " ถ้าเราเป็นผู้มุ่งจะลงไปข้าง
ล่างโดยความประมาทไซร้ พวกเจ้าต้องห้ามเราเสีย. " ดังนี้แล้วประทับ
นั่งในห้องอันเป็นสิริบนพื้นปราสาทชั้นที่ 7.
จะหนีผลแห่งกรรมชั่วย่อมไม่พ้น
พระศาสดา ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เจ้า-
สุปปพุทธะมิใช่จะนั่งบนพื้นปราสาทอย่างเดียว, ต่อให้เหาะขึ้นไปสู่เวหาส
นั่งในอากาศก็ตาม. ไปสู่สมุทรด้วยเรือก็ตาม. เข้าซอกเขาก็ตาม, ธรรมดา
พระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสองไม่มี, ท้าวเธอจักถูกธรณี
สูบในสถานที่เราพูดไว้นั่นแหละ. " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึง
ตรัสพระคาถานี้ว่า
12. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ.
" บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็
ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีไปในท่ามกลางมหา-
สมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้. หนีไปสู่ซอกภูเขา
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ (เพราะ) เขาอยู่แล้วใน
ประเทศแห่งแผ่นดินใด ความตายพึงครอบงำไม่ได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า
นปฺปสเหยฺย มจฺจุ
ความว่า
ประเทศคือแผ่นดิน แม้เพียงเท่าปลายผม ที่มรณะไม่พึงย่ำยี คือไม่พึง
ครอบงำผู้สถิตอยู่ ย่อมไม่มี คำที่เหลือ ก็เช่นกับคำก่อนนั่นเทียวดังนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
ม้ามงคลเป็นเหตุให้ท้าวเธอเสด็จลงจากปราสาท
ในวันที่ 7 ในเวลาคล้ายกับเวลาที่เจ้าสุปปพุทธะปิดหนทางภิกษา-
จารของพระศาสดา ม้ามงคลของเจ้าสุปปพุทธะในภายใต้ปราสาทคึก
คะนอง กระแทกแล้วซึ่งฝานั้น ๆ.
ท้าวเธอประทับนั่งอยู่ชั้นบนนั่นเอง ได้สดับเสียงของม้านั้น จึง
ตรัสถามว่า " นั่นอะไรกัน ? " พวกมหาดเล็กทูลว่า " ม้ามงคลคะนอง. "
ส่วนม้านั้น พอเห็นเจ้าสุปปพุทธะ ก็หยุดนิ่ง.
เกิดเหตุน่าประหลาดเพราะกรรมชั่ว
ขณะนั้น ท้าวเธอมีพระประสงค์จะจับม้านั้น ได้เสด็จลุกจากที่
ประทับบ่ายพระพักตร์มาทางประตู. ประตูทั้งหลายเปิดเองทีเดียว; บันได
ตั้งอยู่ในที่ของตนตามเดิม. คนแข็งแรงผู้ยืนอยู่ที่ประตูจับท้าวเธอที่พระศอ
ผลักให้มีพระพักตร์คะมำลงไป. โดยอุบายนั้นประตูที่พื้นทั้ง 7 ก็เปิดเอง
ทีเดียว บันไดทั้งหลายก็ดังอยู่ในที่เดิม. พวกคนที่แข็งแรง (ประจำอยู่)
ที่ชั้นนั้น ๆ จับท้าวเธอที่พระศอเทียวแล้วผลักให้มีพระพักตร์คะมำลงไป.
ท้าวเธอถูกแผ่นดินสูบไปเกิดในอเวจีนรก
ขณะนั้น มหาปฐพีแตกแยกออกคอยรับเจ้าสุปปพุทธะนั้นผู้ถึงที่
ใกล้เชิงบันไดที่ภายใต้ปราสาทนั่นเอง. ท้าวเธอไปบังเกิดในอเวจีนรก
แล้วแล.
เรื่องเจ้าสุปปพุทธศากยะ จบ
ปาปวรรควรรณนา จบ
วรรคที่ 9 จบ.
คาถาธรรมบท
ทัณฑวรรค1ที่ 10
ว่าด้วยอาชญามีผล
[20] 1. สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา สัตว์
ทั้งหมดย่อมกลัวต่อความตาย บุคคลทำตนให้เป็น
อุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
2. สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา ชีวิต
ย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหมด บุคคลควรทำตนให้
เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่า.
3. สัตว์ผู้เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข บุคคล
ใดแสวงหาสุขเพื่อตน แต่เบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย
ท่อนไม้ บุคคลนั้นละไปแล้วย่อมไม่ได้สุข สัตว์ผู้
เกิดแล้วทั้งหลายเป็นผู้ใคร่สุข บุคคลใดแสวงหาสุข
เพื่อตน ไม่เบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วยท่อนไม้ บุคคล
นั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข.
4. เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ ชนเหล่า
อื่นถูกเธอว่าแล้ว จะพึงว่าตอบเธอ.
5. นายโคบาล ย่อมต้อนโคทั้งหลายไปสู่ที่หา
กิน ด้วยท่อนไม้ฉันใด ชราและมัจจุย่อมต้อนอายุ
ของสัตว์ ทั้งหลายไปฉันนั้น.
1. วรรคที่ 10 มีอรรถกถา 11 เรื่อง.
6. อันคนพาล ทำกรรมทั้งหลายอันลามกอยู่
ย่อมไม่รู้ (สึก) บุคคลผู้มีปัญญาทราม ย่อมเดือดร้อน
ดุจถูกไฟไหม้ เพราะกรรมของตนเอง.
7. ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้าย
ทั้งหลาย ผู้ไม่มีอาชญาด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ
10 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ ถึง
เวทนากล้า 1 ความเสื่อมทรัพย์ 1 ความสลายแห่ง
สรีระ 1 อาพาธหนัก 1 ความฟุ้งซ่านแห่งจิต 1
ความขัดข้องแต่พระราชา 1 การถูกกล่าวตู่อย่างร้าย
แรง 1 ความย่อยยับแห่งเครือญาติ 1 ความเสียหาย
แห่งโภคะทั้งหลาย 1 อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้
เรือนของเขา 1 ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงนรก.
8. การประพฤติเป็นคนเปลือย ก็ทำสัตว์ให้
บริสุทธิ์ไม่ได้ การเกล้าชฎาก็ไม่ได้ การนอนเหนือ
เปือกตมก็ไม่ได้ การไม่กินข้าวก็ดี การนอนบนแผ่น-
ดินก็ดี ความเป็นผู้มีกายหมักหมมด้วยธุลีก็ดี ความ
เพียรด้วยการนั่งกระหย่งก็ดี (แต่ละอย่าง) หาทำ
สัตว์ผู้ยังไม่ล่วงสงสัยให้บริสุทธิ์ได้ไม่.
9. แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำ
เสมอ เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประ-
พฤติประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก
บุคคลนั้นเป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.
10. บุรุษผู้ห้ามอกุศลวิตก ด้วยหิริได้ น้อยคน
จะมีในโลก บุคคลใดกำจัดความหลับ ตื่นอยู่ เหมือน
ม้าดีหลบแส้ไม่ให้ถูกตน บุคคลนั้นหาได้ยาก ท่าน
ทั้งหลายจงมีความเพียร มีความสลดใจ เหมือนม้าดี
ถูกเขาตีด้วยแส้แล้ว (มีความบากบั่น) ฉะนั้น ท่าน
ทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล วิริยะ สมาธิ
และด้วยคุณเครื่องวินิจฉัยธรรม มีวิชชาและจรณะ
ถึงพร้อม มีสติมั่นคง จักละทุกข์อันมีประมาณไม่
น้อยนี้ได้.
11. อันคนไขน้ำทั้งหลาย ย่อมไขน้ำ ช่างศร
ทั้งหลาย ย่อมดัดศร ช่างถากทั้งหลาย ย่อมถากไม้
ผู้สอนง่ายทั้งหลาย ย่อมฝึกตน.
จบทัณฑวรรคที่ 10
10. ทัณฑวรรควรรณนา
1. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ [107]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ
ฉัพพัคคีย์1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สพฺเพ ตสนฺติ" เป็นต้น.
เหตุทรงบัญญัติปหารทานสิกขาบท
ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อเสนาสนะอันภิกษุสัตตร2สพัคคีย์
ซ่อมแซมแล้ว ภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า " พวกท่านจงออกไป, พวกผม
แก่กว่า, เสนาสนะนั่นถึงแก่พวกผม." เมื่อภิกษุสัตตรสพัคคีย์เหล่านั้น
พูดว่า " พวกผมจักไม่ยอมให้, (เพราะ) พวกผมซ่อมแซมไว้ก่อน " ดังนี้
แล้ว จึงประหารภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุสัตตรสพัคคีย์ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว
จึงร้องเสียงลั่น.
พระศาสดา ทรงสดับเสียงของภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า " อะไร
กันนี่ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " เรื่องชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่นี้ ธรรมดาภิกษุไม่ควรทำอย่างนั้น, ภิกษุ
ใดทำ, ภิกษุนั้นย่อมต้องอาบัติชื่อนี้. " ดังนี้แล้ว ทรงบัญญัติปหารทาน-
สิกขาบท ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุรู้ว่า ' เราย่อม
หวาดหวั่นต่ออาชญา กลัวต่อความตายฉันใด, แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ย่อม
หวาดหวั่นต่ออาชญา กลัวต่อความตายฉันนั้นเหมือนกัน ' ไม่ควรประหาร
1. ภิกษุมีพวก 6. 2. ภิกษุมีพวก 17.
เอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่าผู้อื่น " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
1. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพ ภายฺนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานิ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย.
" สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา, สัตว์
ทั้งหมด ย่อมกลัวต่อความตาย, บุคคลทำตนให้เป็น
อุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ผู้อื่นให้ฆ่า."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า " สพฺเพ ตสนฺติ " ความว่า สัตว์
แม้ทั้งหมด เมื่ออาชญาจะตกที่ตน ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญานั้น.
บทว่า มจจุโน ได้แก่ ย่อมกลัวแม้ต่อความตายแท้.
ก็พยัญชนะ1แห่งเทศนานี้ไม่มีเหลือ. ส่วนเนื้อความยังมีเหลือ. เหมือน
อย่างว่า เมื่อพระราชารับสั่งให้พวกราชบุรุษตีกลองเที่ยวป่าวร้องว่า " ชน
ทั้งหมดจงประชุมกัน " ชนทั้งหลายที่เหลือเว้นพระราชาและมหาอำมาตย์
ของพระราชาเสีย ย่อมประชุมกันฉันใด. แม้เมื่อพระศาสดา ตรัสว่า
" สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่น " ดังนี้. สัตว์ทั้งหลายที่เหลือเว้นสัตว์วิเศษ
4 จำพวกเหล่านั้น คือ 'ช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย โคอุสภอาชาไนย
และพระขีณาสพ ' บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมหวาดหวั่นฉันนั้นเหมือนกัน.
จริงอยู่ บรรดาสัตว์วิเศษเหล่านี้ พระขีณาสพ ไม่เห็นสัตว์ที่จะตาย เพราะ
ความที่ท่านละสักกายทิฏฐิเสียได้เเล้วจึงไม่กลัว. สัตว์วิเศษ 3 พวกนอกนี้
1. อธิบายว่า เพ่งตามพยัญชนะ แสดงว่า สัตว์ทั้งหลายกลัวต่อความตาย ไม่มีเว้นใครเลย แต่
ตามอรรถ มีเว้นสัตว์บางพวก จึงกล่าวว่า ยังมีเหลือ.
ไม่เห็นสัตว์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน เพราะความที่สักกายทิฏฐิ มีกำลังจึงไม่
กลัว.
พระคาถาว่า น หเนยฺย น ฆาตเย ความว่า บุคคลรู้ว่า " เราฉัน
ใด. แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ฉันนั้น " ดังนี้แล้ว ก็ไม่ควรฆ่าเอง (และ)ไม่ควร
ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.