4. เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ [151]
ข้อความเบื้อต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปัญหาของ
พระอานนทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สพฺพปาปสฺส อกรณํ "
เป็นต้น.
กาลแห่งพระพุทธเจ้าต่างกัน แต่คำสอนเหมือนกัน
ได้ยินว่า พระเถระนั่งในที่พักกลางวัน คิดว่า " พระศาสดาตรัส
บอกเหตุแห่งพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ทุกอย่าง คือ พระชนนีและพระ-
ชนก การกำหนดพระชนมายุ ไม้เป็นที่ตรัสรู้ สาวกสันนิบาต อัครสาวก
อุปัฏฐาก. แต่อุโบสถมิได้ตรัสบอกไว้; อุโบสถแห่งพระพุทธเจ้าแม้
เหล่านั้นเหมือนอย่างนี้ หรือเป็นอย่างอื่น. " ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
แล้วทูลถามเนื้อความนั้น. ก็เพระความแตกต่างแห่งกาลแห่งพระพุทธเจ้า
เหล่านั้นเท่านั้น ได้มีแล้ว, ความแตกต่างแห่งคาถาไม่มี; ด้วยว่า พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงกระทำอุโบสถในทุก ๆ 7 ปี,
เพราะพระโอวาทที่พระองค์ประทานแล้วในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้7ปี,
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีและเวสสภู ทรงกระทำอุโบสถใน
ทุก ๆ 6 ปี. (เพราะพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 2 พระองค์นั้น
ทรงประทานในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้ 6 ปี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากกุสันธะ และ โกนาคมนะ ได้ทรงกระทำอุโบสถทุก ๆ ปี,
(เพราะพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์นั้น ทรงประทาน
ในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้ปีหนึ่ง ๆ); พระกัสสปทสพล ได้ทรงกระทำ
อุโบสถทุก ๆ 6 เดือน, เพราะพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานในวัน
หนึ่ง พอไปได้ 6 เดือน; ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสความแตกต่างกัน
เเห่งกาลนี้ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " ส่วนโอวาทคาถาของ
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นอย่างนี้นี่แหละ." ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงกระทำ
อุโบสถแห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ซึ่งเป็นอันเดียวกันทั้งนั้นให้
แจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
4. สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต.
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.
" ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึง
พร้อม ความทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ความอดทนคือความอด
กลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย
ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม, ผู้ทำร้ายผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น
สมณะ. ความไม่กล่าวร้าย 1 ความไม่ทำร้าย 1
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ 1 ความเป็นผู้รู้ประมาณ
ในภัตตาหาร 1 ที่นอนที่นั่งอันสงัด 1 ความประกอบ
โดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต 1 นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพปาปสฺส ได้แก่ อกุศลกรรมทุก
ชนิด. การยังกุศลให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ออกบวชจนถึงพระอรหัตมรรค และ
การยังกุศลที่ตนให้เกิดขึ้นแล้วให้เจริญ ชื่อว่า อุปสมฺปทา. การยังจิตของ
ตนให้ผ่องใสจากนิวรณ์ทั้ง 5 ชื่อว่า สจิตฺตปริโยทปนํ.
บาทพระคาถาว่า เอตํ พุทฺธานสาสนํ1 โดยอรรถว่า นี้เป็นวาจา
เครื่องพร่ำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์.
บทว่า ขนฺติ ความว่า ขึ้นชื่อว่าความอดทน กล่าวคือ ความอด
กลั้นนี้ เป็นตบะอย่างยอดยิ่ง คืออย่างสูงสุดในพระศาสนานี้.
บาทพระคาถาว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ความว่า พุทธ-
บุคคลทั้ง 3 จำพวกนี้ คือ พระพุทธะจำพวก 1 พระปัจเจกพุทธะจำพวก 1
พระอนุพุทธะจำพวก 1 ย่อมกล่าวพระนิพพานว่า " เป็นธรรมชาติอัน
สูงสุด. "
บทว่า น หิ ปพฺพชิโต โดยความว่า บุคคลผู้ที่ล้างผลาญบีบคั้น
สัตว์อื่นอยู่ ด้วยเครื่องประหารต่าง ๆ มีฝ่ามือเป็นต้น ชื่อว่า ผู้ทำร้ายผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต. บทว่า สมโณ ความว่า บุคคลผู้ยังเบียดเบียนสัตว์
อื่นอยู่ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะด้วยเหมือนกัน.
การไม่ติเตียนเอง และการไม่ยังผู้อื่นให้ติเตียน ชื่อว่า อนูปวาโท. การ
ไม่ทำร้ายเอง และการไม่ใช้ผู้อื่นให้ทำร้าย ชื่อว่า อนูปฆาโต.
1. บาลี เป็น พุทฺธาน สาสนํ
.
บทว่า ปาติโมกฺเข ได้แก่ ศีลที่เป็นประธาน. การปิด ชื่อว่า สํวโร.
ความเป็นผู้รู้จักพอดี คือความรู้จักประมาณ ชื่อว่า มตฺตญฺญุตา. บทว่า
ปนฺติ ได้แก่ เงียบ. บทว่า อธิจิตฺเต ความว่า ในจิตอันยิ่ง กล่าวคือ
จิตที่สหรคตด้วยสมาบัติ 8. การกระทำความเพียร ชื่อว่า อาโยโค. บทว่า
เอตํ ความว่า นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์. ก็ในพระ-
คาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศีลอันเป็นไปทางวาจา ด้วยอนูปวาท
ตรัสศีลอันเป็นไปทางกาย ด้วยอนูปฆาต. ตรัสปาติโมกขสีลกับอินทริย-
สังวรสีล ด้วยคำนี้ว่า ปาติโมกฺเข จ สํวโร. ตรัสอาชีวปาริสุทธิสีลและ
ปัจจัยสันนิสิตสีล ด้วยมัตตัญญุตา, ตรัสเสนาสนะอันสัปปายะ ด้วยปันต-
เสนาสนะ, ตรัสสมาบัติ 8 ด้วยอธิจิต. ด้วยประการนี้ สิกขาแม้ทั้ง 3
ย่อมเป็นอันพระองค์ตรัสแล้วด้วยพระคาถานี้ทีเดียว ฉะนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ฉะนี้แล.
เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ จบ.
5. เรื่องภิกษุผู้ไม่ยินดี [125]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ไม่ยินดี
(ในพรหมจรรย์) รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น กหาปณวสฺเสน "
เป็นต้น.
ภิกษุหนุ่มกระสันอยากสึก
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นบรรพชาแล้วในศาสนา ได้อุปสมบทแล้ว อัน
พระอุปัชฌาย์ส่งไป ด้วยคำว่า " เธอจงไปที่ชื่อโน้นแล้ว เรียนอุทเทส "
ได้ไปในที่นั้นแล้ว. ครั้งนั้นโรคเกิดขึ้นแก่บิดาของท่าน เขาเป็นผู้ใคร่จะ
ได้เห็นบุตร (แต่) ไม่ได้ใคร ๆ ที่สามารถจะเรียกบุตรนั้นมาได้ จึงบ่น
เพ้ออยู่ เพราะความโศกถึงบุตรนั่นแล เป็นผู้มีความตายอันใกล้เข้ามา
แล้ว จึงสั่งน้องชายว่า " เจ้าพึงทำทรัพย์นี้ให้เป็นค่าบาตรและจีวรแก่บุตร
ของเรา " แล้วให้ทรัพย์ 100 กหาปณะไว้ในมือของน้องชาย ได้ทำ
กาละแล้ว.
ในกาลที่ภิกษุหนุ่มมาแล้ว น้องชายนั้น จึงหมอบลงแทบเท้าร้องไห้
กลิ้งเกลือกไปมา พลางกล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ บิดาของท่านทั้งหลาย
บ่นถึงอยู่เทียว ทำกาละแล้ว. ก็บิดานั้นได้มอบกหาปณะไว้ 100 ในมือ
ของผม. ผมจักทำอะไร ? ด้วยทรัพย์นั้น. " ภิกษุหนุ่มจึงห้ามว่า " เรา
ไม่มีความต้องการด้วยกหาปณะ " ในกาลต่อมาจึงคิดว่า " ประโยชน์อะไร
ของเรา ด้วยการเที่ยวไปบิณฑบาตในตระกูลอื่นเลี้ยงชีพ, เราอาจเพื่อจะ
อาศัยกหาปณะ 100 นั้นเลี้ยงชีพได้. เราจักสึกละ. " เธอถูกความไม่ยินดี
บีบคั้นแล้ว จึงสละการสาธยายและพระกัมมัฏฐาน ได้เป็นเหมือนผู้มีโรค
ผอมเหลือง, ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรถามเธอว่า " นี่อะไรกัน ?
เมื่อเธอตอบว่า " ผมเป็นผู้กระสัน " จึงพากันเรียนแก่อาจารย์และ
อุปัชฌาย์. ทีนั้นอาจารย์และอุปัชฌาย์เหล่านั้น จึงนำเธอไปยังสำนักของ
พระศาสดา แสดงแด่พระศาสดาแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ ? " เมื่อ
เธอกราบทูลรับว่า " อย่างนั้น พระเจ้าข้า " ตรัสว่า " เพราะเหตุไร ?
เธอจึงได้ทำอย่างนั้น. ก็อะไร ๆที่เป็นปัจจัยแห่งการเลี้ยงชีพของเธอมีอยู่
หรือ ?"
ภิกษุ. มี พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. อะไร ? ของเธอมีอยู่.
ภิกษุ. กหาปณะ 100 พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ถ้ากระนั้น เธอจงนำก้อนกรวดมา แม้เพียงเล็กน้อย
ก่อน. เธอลองนับดูก็จักรู้ได้ว่า ' เธออาจเลี้ยงชีวิตได้ด้วยกหาปณะจำนวน
เท่านั้นหรือ. หรือไม่อาจเลี้ยงชีวิตได้.'
ภิกษุหนุ่มนั้น จึงนำก้อนกรวดมา.
ความอยากให้เต็มได้ยาก
ทีนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะเธอว่า " เธอจงตั้งไว้ 50 เพื่อประโยชน์
แก่เครื่องบริโภคก่อน, ตั้งไว้ 28 เพื่อประโยชน์แก่โค 2 ตัว, ตั้งไว้ชื่อ
มีประมาณเท่านี้ เพื่อประโยชน์แก่พืช, เพื่อประโยชน์แก่แอกและไถ,
เพื่อประโยชน์แก่จอบ, เพื่อประโยชน์เเก่พร้าและขวาน. " เมื่อเธอนับ
อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ กหาปณะ 100 นั้น ย่อมไม่เพียงพอ. ครั้งนั้น
พระศาสดาจึงตรัสกะเธอว่า " ภิกษุ กหาปณะของเธอมีน้อยนัก, เธออาศัย
กหาปณะเหล่านั้น จักให้ความทะยานอยากเต็มขึ้นได้อย่างไร ? ได้ยินว่า
ในอดีตกาล บัณฑิตทั้งหลายครองจักรพรรดิราชสมบัติ สามารถจะยัง
ฝนคือรัตนะ 7 ประการให้ตกลงมาเพียงสะเอวในที่ประมาณ 12 โยชน์
ด้วยอาการสักว่าปรบมือ แม้ครองราชสมบัติในเทวโลก ตลอดกาลที่
ท้าวสักกะ 36 พระองค์จุติไป ในเวลาตาย (ก็) ไม่ยังความอยากให้เต็ม
ได้เลย ได้ทำกาละแล้ว " อันภิกษุนั้นทูลวิงวอนแล้ว ทรงนำอดีตนิทาน
มา ยังมันธาตุราชชาดก1ให้พิสดารแล้ว ในลำดับแห่งพระคาถานี้ว่า :-
" พระจันทร์และพระอาทิตย์ (ย่อมหมุนเวียนไป)
ส่องทิศให้สว่างไสวอยู่กำหนดเพียงใด, สัตว์ทั้งหลาย
ผู้อาศัยแผ่นดินทั้งหมดเทียว ย่อมเป็นทาสของพระ-
เจ้ามันธาตุราชกำหนดเพียงนั้น."
ได้ทรงภาษิต 2 พระคาถานี้ว่า :-
5. น กหาปณวสฺเสน ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ
อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต
อปิ ทิพฺเพสุ กาเมสุ รตึ โส นาธิคจฺฉติ
ตณฺหกฺขยรโต โหติ สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก.
" ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มีเพราะฝน
คือกหาปณะ, กามทั้งหลาย มีรสอร่อยน้อย ทุกข์
มาก บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้แล้ว ย่อมไม่ถึงความยินดีใน
1. ขุ. ชา. 27/200. อรรถกถา. 2/47.
กามทั้งหลายแม้ที่เป็นทิพย์, พระสาวกของพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กหาปณวสฺเสน ความว่า บัณฑิตนั้น
ปรบมือแล้ว ยังฝนคือรัตนะ 7 ประการให้ตกลงได้, ฝนคือรัตนะ 7
ประการนั้น ตรัสให้ชื่อว่า กหาปณวสฺสํ ในพระคาถานี้, ก็ขึ้นชื่อว่า
ความอิ่มในวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมไม่มี แม้เพราะฝนคือรัตนะทั้ง 7
ประการนั้น; ความทะยานอยากนั่น เต็มได้ยากด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า อปฺปสฺสาทา คือ ชื่อว่ามีสุขนิดหน่อย เพราะค่าที่กามมี
อุปมาเหมือนความฝันเป็นต้น.
บทว่า ทุกฺขา คือ ชื่อว่ามีทุกข์มากแท้ ด้วยสามารถแห่งทุกข์อัน
มาในทุกขักขันธสูตร1เป็นต้น.
บทว่า อิติ วิญฺญาย คือ รู้กามทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยอาการ
อย่างนี้.
บทว่า อปิ ทิพฺเพสุ ความว่า ก็ถ้าใคร ๆ พึงเธอเชิญด้วยกามอัน
เข้าไปสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย. ถึงอย่างนั้นท่านย่อมไม่ประสบความยินดี
ในกามเหล่านั้นเลย เหมือนท่านพระสมิทธิ ที่ถูกเทวดาเธอเชื้อเชิญฉะนั้น.
บทว่า ตณฺหกฺขยรโต ความว่า เป็นผู้ยินดียิ่ง ในพระอรหัตและ
ในพระนิพพาน คือปรารถนาพระอรหัตและพระนิพพานอยู่.
1. ม. มู. มหาทุกขักขันธสูตร 12/166. จูฬทุกขักขันธสูตร 12/179.