เมนู

แต่เช้าตรู่ ตรวจดูบ่วงจำเดิมแต่ต้น ไม่พบแม้ตัวเดียวซึ่งติดบ่วง ได้
เห็นรอยพระบาทของพระศาสดาแล้ว. ทีนั้นเขาได้ดำริฉะนี้ว่า " ใครเที่ยว
ปล่อยเนื้อตัวติด (บ่วง) ของเรา." เขาผูกอาฆาตในพระศาสดา เมื่อเดิน
ไปก็พบพระศาสดาประทับนั่งที่โคนพุ่มไม้คิดว่า " สมณะองค์นี้ปล่อยเนื้อ
ของเรา. เราจักฆ่าสมณะนั้นเสีย." ดังนี้แล้ว ได้โก่งธนู.
พระศาสดาให้โก่งธนูได้ (แต่) ไม่ให้ยิง (ธนู) ไปได้. เขาไม่อาจ
ทั้งเพื่อปล่อยลูกศรไป ทั้งลดลง มีสีข้างทั้ง 2 ปานดังจะแตกมีน้ำลายไหล
ออกจากปาก เป็นผู้อ่อนเพลีย ได้ยืนอยู่แล้ว.
ครั้งนั้น พวกบุตรของเขาไปเรือนพูดกันว่า " บิดาของเราล่าช้า
อยู่. จักมีเหตุอะไรหนอ ?" อันมารดาส่งไปว่า " พ่อทั้งหลาย พวกเจ้า
จงไปสู่สำนักของบิดา." ต่างก็ถือธนูไปเห็นบิดายืนอยู่เช่นนั้น คิดว่า " ผู้
นี้ จักเป็นปัจจามิตรของบิดาพวกเรา." ทั้ง 7 คนโก่งธนูแล้ว ได้ยืนอยู่
เหมือนกับบิดาของพวกเขายืนแล้ว เพราะอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า.

กุกกุฏมิตรเลิกอาฆาตในพระพุทธเจ้า


ลำดับนั้น มารดาของพวกเขาคิดว่า " ทำไมหนอแล ? บิดา (และ)
บุตรจึงล่าช้าอยู่ " ไปกับลูกสะใภ้7 คน เห็นชนเหล่านั้นยืนอยู่อย่างนั้น
คิดว่า " ชนเหล่านั้นยืนโก่งธนูต่อใครหนอแล ?" แลไปก็เห็นพระศาสดา
จึงประคองแขนทั้ง 2 ร้องลั่นขึ้นว่า " พวกท่านอย่ายังบิดาของเราให้
พินาศ พวกท่านอย่ายังบิดาของเราให้พินาศ."
นายพรานกุกกุฏมิตรได้ยินเสียงนั้นแล้ว คิดว่า " เราฉิบหายแล้ว
หนอ, นัยว่า ผู้นั้นเป็นพ่อตาของเรา. ตายจริง เราทำกรรมหนัก." แม้
พวกบุตรของเขาก็คิดว่า " นัยว่า ผู้นั้นเป็นตาของเรา, ตายจริง เราทำ

กรรมหนัก. " นายพรานกุกกุฏมิตร เข้าไปตั้งเมตตาจิตไว้ว่า " คนนี้เป็น
พ่อตาของเรา. " แม้พวกบุตรของเขาก็เข้าไปตั้งเมตตาจิตว่า " คนนี้เป็น
ตาของพวกเรา." ขณะนั้น ธิดาเศรษฐีผู้มารดาของพวกเขาพูดว่า " พวก
เจ้าจงทิ้งธนูเสียโดยเร็วแล้วให้บิดาของฉันอดโทษ."

เขาทั้งหมดสำเร็จโสดาปัตติผล


พระศาสดา ทรงทราบจิตของเขาเหล่านั้นอ่อนแล้ว จึงให้ลดธนูลง
ได้. ชนเหล่านั้นทั้งหมด ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ให้พระองค์อดโทษ
ว่า " ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอพระองค์ทรงอดโทษแก่ข้าพระองค์ ดัง
นี้แล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้นพระศาสดา ตรัสอนุปุพพีกถาแก่
พวกเขา. ในเวลาจบเทศนา นายพรานกุกกุฎมิตรพร้อมทั้งบุตรและสะใภ้
มีตนเป็นที่ 15 ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. พระศาสดาเสด็จเที่ยวไป
บิณฑบาต ได้เสด็จไปสู่วิหารภายหลังภัต. ลำดับนั้น พระอานนท์เถระ
ทูลถามพระองค์ว่า " วันนี้พระองค์เสด็จไปไหน ? พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. ไปสำนักของกุกกุฏมิตร อานนท์.
พระอานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นายพรานกุกกุฏมิตรพระองค์
ทำให้เป็นผู้ไม่ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้วหรือ ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เออ อานนท์ นายพรานกุกกุฏมิตรนั้นมีตนเป็นที่ 15
ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่คลอนแคลน เป็นผู้หมดสงสัยในรัตนะ 3 เป็นผู้ไม่
ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้ว .
พวกภิกษุกราบทูลว่า " แม้ภริยาของเขามีมิใช่หรือ ? พระเจ้าข้า "
พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย, นางเป็นกุมาริกาในเรือน
ของผู้มีตระกูลเทียว บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. "

พระโสดาบันไม่ทำบาป


พวกภิกษุสนทนากันว่า " ได้ยินว่า ภริยาของนายพรานกุกกุฏมิตร
บรรลุโสดาปัตติผลในกาลที่ยังเป็นเด็กหญิงนั่นแล แล้วไปสู่เรือนของนาย-
พรานนั้น ได้บุตร 7 คน. นางอันสามีสั่งตลอดกาลเท่านี้ว่า ' หล่อนจง
นำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา.' ได้ให้สิ่ง
เหล่านั้นแล้ว, นายพรานนั้นถือเครื่องประหารที่นางให้ไปทำปาณาติบาต;
แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือหนอ ? "
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
" ด้วยเรื่องชื่อนี้." ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำ
ปาณาติบาต. แต่นางได้ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่า 'เราจักทำตามคำสามี.'
จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต;
จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้
ฉันใด. ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลาย
มีธนูเป็นต้นออกให้เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
8. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิสํ
นาพฺพณํ วิสมเนฺวติ นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต.
" ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา
พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า
มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่
ฉันนั้น."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาสฺส แปลว่า ไม่พึงมี.
บทว่า หเรยฺย แปลว่า พึงอาจนำไปได้.
ถามว่า " เพราะเหตุไร ? "
แก้ว่า " เพราะยาพิษไม่ซึมไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล " จริงอยู่ ยาพิษ
ย่อมไม่อาจซึมซาบเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด; ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่
ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มี
อกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, แท้จริง บาปย่อมไม่ติดตามจิตของบุคคล
นั้น เหมือนยาพิษไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผลฉะนั้น ดังนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้นแล้ว.

บุรพกรรมของกุกกุฏมิตรพร้อมด้วยบุตรและสะใภ้


โดยสมัยอื่น พวกภิกษุสนทนากันว่า " อะไรหนอเเล เป็นอุปนิสัย
แห่งโสดาปัตติมรรค ของนายพรานกุกกุฏมิตร ทั้งบุตร และสะใภ้ ?
นายพรานกุกกุฏมิตรนี้ เกิดในตระกูลของพรานเนื้อเพราะเหตุอะไร ? "
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวก
เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
" ด้วยเรื่องชื่อนี้. " ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล หมู่ชนจัดสร้าง
เจดีย์บรรจุพระธาตุของพระกัสสปทสพล กล่าวกันอย่างนี้ว่า " อะไรหนอ
จักเป็นดินเหนียว ? อะไรหนอ จักเป็นน้ำเชื้อ แห่งเจดีย์นี้ ? ่ ่

การสร้างเจดีย์ในสมัยก่อน


ทีนั้น พวกเขาได้มีปริวิตกนี้ว่า " หรดาลและมโนสิลาจักเป็นดิน-
เหนียว. น้ำมันงาจักเป็นน้ำเชื้อ. " พวกเขาตำหรดาลและมโนสิลาแล้ว
ผสมกับน้ำมันงา ก่อด้วยอิฐ ปิดด้วยทองคำ แล้วเขียนลวดลายข้างใน.
แต่ที่มุขภายนอกมีอิฐเป็นทองทั้งแท่งเทียว. อิฐแผ่นหนึ่ง ๆ ได้มีค่าแสน
หนึ่ง. พวกเขาเมื่อเจดีย์สำเร็จแล้ว จนถึงกาลจะบรรจุพระธาตุ คิดกัน
ว่า " ในกาลบรรจุพระธาตุ ต้องการทรัพย์มาก. พวกเราจักทำใครหนอ
แล ให้เป็นหัวหน้า ? "

แย่งกันเป็นหัวหน้าในการบรรจุพระธาตุ


ขณะนั้น เศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง กล่าวว่า " ข้าพเจ้า จักเป็น
หัวหน้า " ได้ใส่เงิน 1 โกฏิ ในที่บรรจุพระธาตุ. ชาวแว่นแคว้นเห็นกิริยา
นั้น ติเตียนว่า " เศรษฐีในกรุงนี้ ย่อมรวบรวมทรัพย์ไว้ถ่ายเดียว, ไม่
อาจเป็นหัวหน้าในเจดีย์เห็นปานนี้ได้. ส่วนเศรษฐีบ้านนอก ใส่ทรัพย์
1 โกฏิ เป็นหัวหน้าทีเดียว."
เศรษฐีในกรุงนั้น ได้ยินถ้อยคำของชนเหล่านั้นแล้ว กล่าวว่า
" เราจักให้ทรัพย์ 2 โกฏิแล้วเป็นหัวหน้า " ได้ให้ทรัพย์ 2 โกฏิแล้ว.
เศรษฐีบ้านนอกคิดว่า " เราเองจักเป็นหัวหน้า " ได้ให้ทรัพย์ 3
โกฎิ. ครั้นเศรษฐีทั้ง 2 เพิ่มทรัพย์กันด้วยอาการอย่างนั้น. เศรษฐีในกรุง
ได้ให้ทรัพย์ 8 โกฏิแล้ว.
ส่วนเศรษฐีบ้านนอก มีทรัพย์ 9 โกฏิเท่านั้นในเรือน. เศรษฐีใน
กรุงมีทรัพย์ 40 โกฏิ. เพราะฉะนั้น เศรษฐีบ้านนอก จึงคิดว่า " ถ้า
เราให้ทรัพย์ 9 โกฏิไซร้. เศรษฐีนี้จักกล่าวว่า " เราจักให้10 โกฏิ."

เมื่อเป็นเช่นนั้น ความหมดทรัพย์ของเราจักปรากฏ " เธอจึงกล่าวอย่างนั้น
ว่า " เราจักให้ทรัพย์ประมาณเท่านี้, และเราทั้งลูกและเมียจักเป็นทาสของ
เจดีย์ ดังนี้แล้ว พาบุตรทั้ง 7 คน สะใภ้ทั้ง 7 คนและภริยา มอบ
แก่เจดีย์พร้อมกับตน.

เศรษฐีบ้านนอกได้เป็นหัวหน้า


ชาวแว่นแคว้นทำเศรษฐีบ้านนอกนั้นให้เป็นหัวหน้า ด้วยอ้างว่า
"ชื่อว่าทรัพย์ใคร ๆ ก็อาจให้เกิดขึ้นได้, แต่เศรษฐีบ้านนอกนี้พร้อมทั้ง
บุตรและภริยา มอบตัว (เฉพาะเจดีย์). เศรษฐีนี้แหละจงเป็นหัวหน้า."
ชนทั้ง 16 คนนั้น ได้เป็นทาสของเจดีย์ด้วยประการฉะนี้. แต่ชาวแว่น-
แคว้นได้ทำพวกเขาให้เป็นไท. แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ปฏิบัติเจดีย์
นั้นแล ดำรงอยู่ตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก.
เมื่อชนเหล่านั้น อยู่ในเทวโลกตลอด 1 พุทธันดร ในพุทธุปบาทนี้ ภริยา
จุติจากเทวโลกนั้น บังเกิดเป็นธิดาเศรษฐีในกรุงราชคฤห์.

คติของผู้ไม่เห็นสัจจะไม่แน่นอน


นางยังเป็นเด็กหญิงเทียว บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. ก็ชื่อว่าปฏิสนธิ
ของสัตว์ผู้ยังไม่เห็นสัจจะ เป็นภาระหนัก เพราะฉะนั้น สามีของนาง
จึงเวียนกลับไปเกิดในสกุลพรานเนื้อ. ความสิเนหาในก่อนได้ครอบงำ
ธิดาของเศรษฐี พร้อมกับการเห็นนายพรานกุกกุฏมิตรนั้นแล. จริงอยู่
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" ความรักนั้น ย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ 2
ประการ อย่างนี้ คือ เพราะการอยู่ร่วมกันในกาล

ก่อน 1 เพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน 1 ดุจดอกบัว
เกิดในน้ำ (เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ) ฉะนั้น."

ธิดาของเศรษฐีนั้น ได้ไปสู่ตระกูลของพรานเนื้อเพราะความสิเนหา
ในปางก่อน, แม้พวกบุตรของนางก็จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้อง
ของนางนั้นแล.
แม้เหล่าสะใภ้ของนาง บังเกิดในที่นั้น ๆ เจริญวัยแล้ว ได้ไป
สู่เรือนของชนเหล่านั้นนั่นแหละ. ชนเหล่านั้นทั้งหมด ปฏิบัติเจดีย์ในกาล
นั้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงได้บรรลุโสดาปัตติผล ด้วยอานุภาพแห่ง
กรรมนั้น ดังนี้แล.
เรื่องนายพรานกุกกุฏมิตร จบ.

9. เรื่องนายพรานสุนัขชื่อโกกะ [103]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนายพราน
สุนัขชื่อโกกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย อปฺปทุฏฺฐสฺส นรสฺส
ทุสฺสติ "
เป็นต้น.

นายพรานพบพระเถระเที่ยวบิณฑบาต


ได้ยินว่า เวลาเช้าวันหนึ่ง นายพรานนั้นถือธนู มีสุนัขห้อมล้อม
ออกไปป่า พบภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง กำลังเที่ยวบิณฑบาต
ในระหว่างทาง โกรธแล้ว พลางคิดว่า " เราพบคนกาลกรรณี, วันนี้
จักไม่ได้สิ่งอะไรเลย " ดังนี้ จึงหลีกไป. ฝ่ายพระเถระเที่ยวบิณฑบาตใน
หมู่บ้าน ทำภัตกิจแล้วจึงกลับไปสู่วิหารอีก.

นายพรานให้สุนัขกัดพระเถระ


ฝ่ายนายพรานนอกนี้ เที่ยวไปในป่าไม่ได้อะไร ๆ เมื่อกลับมาก็พบ
พระเถระอีก จึงคิดว่า " วันนี้ เราพบคน(กาลกรรณี)นี้แล้ว ไปป่าจึงไม่
ได้อะไร ๆ. บัดนี้เธอได้มาเผชิญหน้าของเราแม้อีก. เราจักให้สุนัขทั้งหลาย
กัดพระรูปนั้นเสีย ดังนี้แล้ว จึงให้สัญญาปล่อยสุนัขไป.
พระเถระอ้อนวอนว่า " อุบาสก ท่านอย่าทำอย่างนั้น. " เขาร้อง
บอกว่า " วันนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้อะไร เพราะประสบท่าน. ท่านก็มาประสบ
ข้าพเจ้าแม้อีก. ข้าพเจ้าจักให้สุนัขกัดท่าน " ดังนี้แล้ว จึงให้สุนัข (กัด).
พระเถระรีบขึ้นต้นไม้ต้นหนึ่งโดยเร็ว นั่งในที่สูงชั่วบุรุษหนึ่ง. สุนัข
ทั้งหลายก็พากันล้อมต้นไม้ไว้.