ก็แผ่นหินใหญ่นี้ ได้ตั้งปิดประตูถ้ำเสียแล้ว. พวกเราจักนำแผ่นหินนั้น
ออก " แล้วให้ประชุมพวกมนุษย์จากบ้าน 7 ตำบลโดยรอบ แม้พยายาม
อยู่ ก็ไม่อาจยังแผ่นหินนั้นให้เขยื้อนจากที่ได้.
แม้พวกภิกษุผู้เข้าไป (อยู่) ในภายใน ก็พยายามเหมือนกัน. แม้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่อาจให้เเผ่นหินนั้นเขยื้อนได้ตลอด 7 วัน, พวก
ภิกษุอาคันตุกะ อันความหิวแผดเผาแล้วตลอด 7 วัน ได้เสวยทุกข์ใหญ่
แล้ว. ในวันที่ 7 แผ่นหินก็ได้กลับกลิ้งออกไปเอง. พวกภิกษุออกไป
แล้ว คิดว่า " บาปของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้วใครเล่าจักรู้ได้
พวกเราจักทูลถามพระศาสดา " ดังนี้แล้ว ก็พากันหลีกไป.
พวกภิกษุทูลถามถึงกรรมของตนและของผู้อื่น
ภิกษุเหล่านั้น มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง รวม
เป็นพวกเดียวกันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
มีปฏิสันถารอันพระศาสดาทรงทำแล้ว จึงทูลถามถึงเหตุที่ตนเห็นและที่
ตนเสวยมาแล้วโดยลำดับ. แม้พระศาสดาก็ตรัสพยากรณ์แก่ภิกษุเหล่านั้น
โดยลำดับอย่างนี้.
บุรพกรรมของกา
ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้.
ก็ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ (แต่) ไม่
อาจฝึกได้. ด้วยว่าโคของเขานั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย. แม้
เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนอย่างเดิม
นั่นแล. ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่อาจฝึกโคนั้นได้ เป็นผู้อันความ
โกรธครอบงำแล้ว จึงกล่าวว่า 'บัดนี้เจ้าจักนอนสบายตั้งแต่นี้ไป' ดังนี้
แล้ว ทำโคนั้นให้เป็นดุจฟ่อนฟาง พันคอโคนั้นด้วยฟางแล้วก็จุดไฟ.
โคถูกไฟคลอกตายในที่นั้นเอง. ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น อัน
กานั้นทำแล้วในครั้งนั้น. เขาไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบาก
ของกรรมอันเป็นบาปนั้นเกิดแล้วในกำเนิดกา 7 ครั้ง (ถูกไฟ) ไหม้ตาย
ในอากาศอย่างนั้นแหละด้วยวิบากที่เหลือ."
บุรพกรรมของภรรยานายเรือ
" ภิกษุทั้งหลาย หญิงแม้นั้น เสวยกรรมที่ตนทำแล้วเหมือนกัน. ก็
ในอดีตกาล หญิงนั้นเป็นภรรยาแห่งคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสีได้ทำ
กิจทุกอย่างมีตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหาร เป็นต้น ด้วยมือของนางเอง.
สุนัขตัวหนึ่งของนางนั่งแลดูนางนั้น ผู้ทำกิจทุกอย่างอยู่ในเรือน. เมื่อ
นางนำภัตไปนาก็ดี ไปป่าเพื่อต้องการวัตถุต่าง ๆ มีฟืนและผักเป็นต้นก็ดี
สุนัขนั้นย่อมไปกับนางนั้นเสมอ. พวกคนหนุ่มเห็นดังนั้น ย่อมเยาะเย้ยว่า
' แน่ะพ่อ พรานสุนัขออกแล้ว. วันนี้พวกเราจักกิน (ข้าว) กับเนื้อ '
นางขวยเขินเพราะคำพูดของพวกคนเหล่านั้น จึงประหารสุนัขด้วยก้อน
ดินและท่อนไม้เป็นต้นให้หนีไป. สุนัขกลับแล้วก็ตามไปอีก. ได้ยินว่า
สุนัขนั้นได้เป็นสามีของนางในอัตภาพที่ 3; เหตุนั้น มันจึงไม่อาจตัดความ
รักได้. จริงอยู่ ใคร ๆ ชื่อว่าไม่เคยเป็นเมียหรือเป็นผัวกัน ในสงสาร
มีที่สุดอันบุคคลไปตาม ไม่รู้แล้ว ไม่มีโดยแท้; ถึงกระนั้น ความรักมี
ประมาณยิ่ง ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกันในอัตภาพไม่ไกล; เหตุนั้น สุนัขนั้น
จึงไม่อาจละนางนั้นได้. นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อสามีที่
นา (จึง) ได้เอาเชือกใส่ไว้ในชายพกแล้วไป. สุนัขไปกับนางเหมือนกัน.
นางให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้ว ถือกระออมเปล่าไปสู่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง บรรจุ
กระออมให้เต็มด้วยทรายแล้ว ได้ทำเสียง (สัญญา) แก่สุนัขซึ่งยืนแลดูอยู่
ในที่ใกล้. สุนัขดีใจว่า นานแล้วหนอ เราได้ถ้อยคำที่ไพเราะในวันนี้,
จึงกระดิกหางเข้าหานาง. นางจับสุนัขนั้นอย่างมั่นที่คอแล้ว จึงเอาปลาย
เชือกข้างหนึ่งผูกกระออมไว้ เอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข ผลัก
กระออมให้กลิ้งลงน้ำ. สุนัขตามกระออมไปตกลงน้ำ ก็ได้ทำกาละในน้ำ
นั้นเอง. นางนั้นไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมนั้น
ด้วยวิบากที่เหลือจึงถูกเขาเอากระออมเต็มด้วยทรายผูกคอถ่วงลงในน้ำ ได้
ทำกาละแล้วตลอด 100 อัตภาพ."
บุรพกรรมของภิกษุ 7 รูป
ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือน
กัน. ก็ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค 7 คนชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโค
อยู่คราวละ 7 วัน ในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเที่ยวเลี้ยงโคแล้ว
กลับมาพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม. เหี้ยหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง.
ก็ช่องแห่งจอมปลวกนั้นมี 7 ช่อง. พวกเด็กปรึกษากันว่า บัดนี้ พวก
เราจักไม่อาจจับได้ พรุ่งนี้จึงจักมาจับดังนี้แล้ว จึงต่างคนต่างก็ถือเอากิ่ง
ไม้ที่หักได้คนละกำ ๆ แม้ทั้ง 7 คนพากันปิดช่องทั้ง 7 ช่องแล้วหลีกไป.
ในวันรุ่งขึ้นเด็กเหล่านั้นมิได้คำนึงถึงเหี้ยนั้น ต้อนโคไปในประเทศอื่น ครั้น
ในวันที่ 7 พาโคกลับมา พบจอมปลวกนั้น กลับได้สติ คิดกันว่า ' เหี้ย
นั้นเป็นอย่างไรหนอ ' จึงเปิดช่องที่ตน ๆ ปิดไว้เเล้ว. เหี้ยหมดอาลัยใน
ชีวิต เหลือแต่กระดูกและหนังสั่นคลานออกมา. เด็กเหล่านั้นเห็นดังนั้น
แล้ว จึงทำความเอ็นดูพูดกันว่า ่ พวกเราอย่าฆ่ามันเลย. มันอดเหยื่อตลอด
7 วัน' จึงลูบหลังเหี้ยนั้นแล้วปล่อยไป ด้วยกล่าวว่า 'จงไปตามสบายเถิด.'
เด็กเหล่านั้นไม่ต้องไหม้ในนรกก่อน เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย. แต่ชนทั้ง 7
นั้น ได้เป็นผู้อดข้าวร่วมกันตลอด 7 วัน ๆ ใน 14 อัตภาพ ภิกษุทั้งหลาย
กรรมนั้น พวกเธอเป็นเด็กเลี้ยงโค 7 คนทำไว้แล้วในกาลนั้น."
พระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหา อันภิกษุเหล่านั้นทูลถามแล้ว ๆ ด้วย
ประการฉะนี้. "
คนจะอยู่ที่ไหน ๆ ก็ไม่พ้นจากกรรมชั่ว
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง ทูลพระศาสดาว่า " ความพ้นย่อมไม่มีแก่
สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปแล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่สมุทร
ก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือ ? พระเจ้าข้า."
พระศาสดา ตรัสบอกว่า " อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย แม้ใน
ที่ทั้งหลาย มีอากาศเป็นต้น ประเทศแม้สักส่วนหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้ว
พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ไม่มี " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัส
พระคาถานี้ว่า
11. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุญฺเจยฺย ปาปกมฺมา.
" บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็
ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีไปในท่ามกลางมหา-
สมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีเข้าไปสู่ซอก
แห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, (เพราะ) เขา
อยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรม
ชั่วได้, ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่."
แก้อรรถ
ความแห่งพระคาถานั้นว่า " ก็หากว่า คนบางคนคิดว่า 'เราจัก
พ้นจากกรรมชั่วด้วยอุบายนี้ พึงนั่งในอากาศก็ดี. พึงเข้าไปสู่มหาสมุทร
อันลึกแปดหมื่นสี่พันโยชน์ก็ดี พึงนั่งในซอกแห่งภูเขาก็ดี. เข้าไม่พึงพ้น
จากกรรมชั่วได้เลย. ' ด้วยว่า ในส่วนแห่งแผ่นดินคือภาคแห่งปฐพีมี
ปุรัตถิมทิศเป็นต้น โอกาสแม้ประมาณเท่าปลายขนทรายที่บุคคลอยู่แล้ว
พึงอาจพ้นจากกรรมชั่วได้ หามีไม่. "
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้น บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น. พระธรรมเทศนาเป็นกถามีประโยชน์ แม้เเก่มหาชนผู้
ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องชน 3 คน จบ
12. เรื่องเจ้าสุปปพุทธศากยะ [106]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภเจ้าศากยะ
พระนามว่าสุปปพุทธะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น อนฺตลิกฺเข น
สมุทฺทมชฺเฌ " เป็นต้น.
เจ้าสุปปพุทธะแกล้งนั่งปิดทางเสด็จพระศาสดา
ดังได้สดับมา เจ้าสุปปพุทธะพระองค์นั้น ผูกอาฆาตในพระศาสดา
ด้วยเหตุ 2 ประการนี้ คือ พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวของเราออกบวช
ประการ 1 ให้ลูกชายของเราบวชแล้วตั้งอยู่ในฐานะแห่งผู้มีเวรต่อลูกชาย
นั้นประการ 1, วันหนึ่ง ทรงดำริว่า " บัดนี้ เราจักไม่ให้พระสมณโคดม
นั้นไปฉันยังสถานที่นิมนต์ " ดังนี้ จึงปิดทางเป็นที่เสด็จไป นั่งเสวย
น้ำจัณฑ์ในระหว่างทาง.
ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดามีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเสด็จมาที่นั้น พวก
มหาดเล็กทูลท้าวเธอว่า " พระศาสดาเสด็จมาแล้ว." ท้าวเธอตรัสว่า
" พวกเจ้าจงล่วงหน้าไปก่อน. จงบอกพระสมณะนั้นว่า 'พระสมณโคดม
องค์นี้ไม่เป็นใหญ่กว่าเรา เราจักไม่ให้ทางแก่พระสมณโคดมนั้น " แม้
พวกมหาดเล็กทูลเตือนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็คงประทับนั่งรับสั่งอย่างนั้นแล.
พระศาสดาไม่ได้หนทางจากสำนักของพระมาตุละ (ลุง) แล้วจึง
เสด็จกลับจากที่นั้น. แม้ท้าวเธอก็ส่งจารบุรุษ (คนสอดแนม) ไปคนหนึ่ง
ด้วยกำชับว่า " เจ้าจงไป ฟังคำของพระสมณโคดมนั้นแล้วกลับมา."
เจ้าสุปปพุทธะทำกรรมหนักจักถูกแผ่นดินสูบ
แม้พระศาสดาเสด็จกลับมา ทรงทำการแย้มพระโอฐ พระอานนท-
เถระทูลถามว่า " อะไรหนอแล ? เป็นปัจจัยแห่งกรรมคือการแย้มพระโอฐ
ให้ปรากฏ พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " อานนท์ เธอเห็นเจ้าสุปปพุทธะ
ไหม ? "
พระอานนทเถระ. ทูลว่า " เห็น พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา ตรัสว่า " เจ้าสุปปพุทธะนั้นไม่ให้ทางแก่พระพุทธเจ้า
ผู้เช่นเรา ทำกรรมหนักแล้ว ในวันที่ 7 แต่วันนี้ ท้าวเธอจักเข้าไปสู่
แผ่นดิน (ธรณีสูบ) ณ ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาท. "
เจ้าสุปปพุทธะมุ่งจับผิดพระศาสดาด้วยคำเท็จ
จารบุรุษได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ไปสู่สำนักของเจ้าสุปปพุทธะ ๆ
ตรัสถามว่า " หลานของเราเมื่อกลับไปพูดอะไรบ้าง ? " จึงกราบทูลตาม
ที่ตนได้ยินแล้ว.
ท้าวเธอได้สดับคำของจารบุรุษนั้นแล้ว ตรัสว่า " บัดนี้ โทษใน
การพูด (ผิด) แห่งหลานของเราย่อมไม่มี เธอตรัสคำใด คำนั้นต้อง
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทีเดียว. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น คราวนี้ เราจักจับผิดเธอ
ด้วยการพูดเท็จ. เพราะเธอไม่ตรัสกะเราโดยไม่เจาะจงว่า 'ท่านสุปป-
พุทธะจักถูกธรณีสูบในวันที่ 7 ' ตรัสว่า ' ท่านสุปปพุทธะจักถูกธรณีสูบ
ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาท ' ตั้งแต่วันนี้ไป เราจักไม่ไปสู่ที่นั้น.
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราไม่ถูกธรณีสูบในที่นั้นแล้ว จักข่มขี่เธอด้วยการ
พูดเท็จ. "