เมนู

2. ปิยโต ชายตี โสโก ปิยโต ชายตี ภยํ
ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก, ภัย ย่อมเกิด
แต่ของที่รัก; ความโศก ย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้อง
ได้จากของที่รัก, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยโต เป็นต้น ความว่า ก็ความโศก
ก็ดี ภัยก็ดี อันมีวัฏฏะเป็นมูล เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมอาศัยสัตว์หรือสังขาร
อันเป็นที่รักเท่านั้นเกิด, แต่ความโศกและภัยแม้ทั้งสองนั่นย่อมไม่มีแก่ผู้
ปลดเปลื้องจากสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักนั้นได้เเล้ว.
ในกาลจบเทศนา กุฎุมพีตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. เทศนาได้มี
ประโยชน์แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง จบ.

3. เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา [167]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางวิสาขา
อุบาสิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เปมโต ชายตี " เป็นต้น.

นางวิสาขาโศกถึงนางสุทัตตีที่ทำกาละ


ได้ยินว่า นางวิสาขานั้นตั้งกุมาริกาชื่อว่าสุทัตตี ผู้เป็นธิดาของบุตร
ไว้ในหน้าที่ของตน ให้ทำความขวนขวายแก่ภิกษุสงฆ์ในเรือน.
โดยสมัยอื่น กุมาริกานั้นได้ทำกาละแล้ว, นางวิสาขาให้ทำการฝัง
สรีระ (ศพ) นางแล้ว ไม่อาจจะอดกลั้นความโศกไว้ได้ มีทุกข์เสียใจไป
สู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสอุบายระงับความโศก


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า " วิสาขา ทำไมหนอเธอจึง
มีทุกข์เสียใจ มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา นั่งร้องไห้อยู่ ? " นางจึงทูลข้อความ
นั้น แล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า นางกุมารีนั้นเป็นที่รักของหม่อมฉัน
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร, บัดนี้หม่อมฉันไม่เห็นใครเช่นนั้น. "
พระศาสดา. วิสาขา ก็ในกรุงสาวัตถีมีมนุษย์ประมาณเท่าไร ?
วิสาขา. พระเจ้าข้า พระองค์นั่นแหละ ตรัสแก่หม่อมฉันว่า ' ใน
กรุงสาวัตถี มีชน 7 โกฏิ.'
พระศาสดา. ก็ถ้าชนมีประมาณเท่านี้ ๆ พึงเป็นเช่นกับหลานสาว
ของเธอไซร้ เธอพึงปรารถนาเขาหรือ ?
นางวิสาขา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ก็ชนในกรุงสาวัตถีทำกาละวันละเท่าไร ?
นางวิสาขา. มาก พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่เธอจะเศร้าโศกก็จะไม่พึงมี
มิใช่หรือ ? เธอพึงเที่ยวร้องไห้อยู่ทั้งกลางคืนและกลางวันทีเดียวหรือ ?
นางวิสาขา. ยกไว้เถิด พระเจ้าข้า. หม่อมฉันทราบแล้ว.
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสกะนางว่า " ถ้ากระนั้น เธออย่าเศร้า
โศก. ความโศกก็ดี ความกลัวก็ดี ย่อมเกิดแต่ความรัก " ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. เปมโต ชายตี โสโก เปมโต ชายตี ภยํ
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่
ความรัก; ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจาก
ความรัก, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปมโต ความว่า เพราะอาศัยความรัก
ที่ทำไว้ในบุตรและธิดาเป็นต้นนั่นเอง.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา จบ.

4. เรื่องเจ้าลิจฉวี [168]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยเมืองเวสาลี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา
ทรงปรารภพวกเจ้าลิจฉวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " รติยา ชายตี "
เป็นต้น.

พวกเจ้าลิจฉวีแต่งกายประกวดกัน


ได้ยินว่า ในวันมหรสพวันหนึ่ง เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ต่างองค์ต่าง
ประดับด้วยเครื่องประดับไม่เหมือนกัน ออกจากพระนครเพื่อทรงประสงค์
จะเสด็จไปอุทยาน. พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ทรงเห็นเจ้าลิจฉวี
เหล่านั้น จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอจงดูพวกเจ้าลิจฉวี, พวกที่ไม่เคยเห็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็จงดูเจ้าลิจฉวี
เหล่านี้เถิด " ดังนี้แล้ว เสด็จเข้าสู่พระนคร.

พวกเจ้าลิจฉวีวิวาทกันเพราะหญิงนครโสภิณี


แม้เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น เมื่อไปสู่อุทยาน พาหญิงนครโสภิณีคนหนึ่ง
อาศัยหญิงนั้น อันความริษยาครอบงำแล้ว ประหารกันและกัน ยังเลือด
ให้ไหลนองดุจแม่น้ำ.
ครั้งนั้น พวกเจ้าพนักงานเอาเตียงหามเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นมาแล้ว.
ฝ่ายพระศาสดา ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็เสด็จออกจากพระนคร. พวก
ภิกษุเห็นพวกเจ้าลิจฉวี อันเจ้าพนักงานนำไปอยู่อย่างนั้น จึงกราบทูล
พระศาสดาว่า " พระเจ้าข้า พวกเจ้าลิจฉวีเมื่อเช้าตรู่ ประดับประดา
แล้วออกจากพระนครราวกะพวกเทวดา. บัดนี้อาศัยหญิงคนหนึ่งถึงความ
พินาศนี้แล้ว."

พระศาสดาตรัสโทษของความยินดีในกาม


พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ความโศกก็ดี ภัยก็ดี เมื่อจะ
เกิด ย่อมอาศัยความยินดีนั่นเองเกิด ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
4. รติยา ชายตี โสโก รติยา ชายตี ภยํ
รติยา วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศก ย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อมเกิด
แต่ความยินดี; ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้ว
จากความยินดี. ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รติยา ความว่า แต่ความยินดีใน
กามคุณ 5 คือเพราะอาศัยความยินดีในกามคุณ 5 นั้น.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องเจ้าลิจฉวี จบ.

5. เรื่องอนิตถิคันธกุมาร [169]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอนิตถิคันธ-
กุมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " กามโต ชายตี " เป็นต้น.

อนิตถิคันธกุมารให้ช่างหล่อรูปสตรี


ได้ยินว่า อนิตถิคันธกุมารนั้น เป็นสัตว์ที่จุติจากพรหมโลก เกิด
ในตระกูลมีโภคะมาก ในกรุงสาวัตถี ตั้งแต่วันเกิดมาแล้วไม่ปรารถนา
จะเข้าไปใกล้หญิง ถูกผู้หญิงจับก็ร้องไห้. มารดา (ต้อง) อุ้มกุมารนั้น
ด้วยเทริดผ้าแล้วจึงให้ดื่มนม.
กุมารนั้นเจริญวัยแล้ว เมื่อมารดาบิดากล่าวว่า " พ่อ เราจักทำ
อาวาหมงคลแก่เจ้า. " ก็ห้ามว่า " ฉันไม่มีความต้องการด้วยหญิง " เมื่อ
ถูกอ้อนวอนบ่อยเข้า จึงให้เรียกช่างทองมา 500 คน แล้วให้ ๆ ทองคำ
มีสีสุกพันนิกขะ ให้ทำรูปหญิง บุอย่างหนา น่าเลื่อมใสยิ่งนัก, เมื่อ
มารดาบิดากล่าวอีกว่า " พ่อ เมื่อเจ้าไม่ทำอาวาหมงคล, ตระกูลวงศ์จัก
ตั้งอยู่ไม่ได้, เราจักนำกุมาริกามาให้เจ้า " ก็กล่าวว่า " ถ้ากระนั้น ถ้า
ท่านทั้งสองจะนำกุมาริกาเช่นนั้นมาให้ฉัน, ฉันจักทำตามคำของท่านทั้ง-
สอง " ดังนี้แล้ว จึงแสดงรูปทองคำนั้น.

ส่งพราหมณ์ไปหาคู่ครองบุตร


ลำดับนั้น มารดาบิดาของเขา ให้พาพวกพราหมณ์มีชื่อเสียงมา
แล้วบอกว่า " บุตรของเรามีบุญมาก, คงจักมีกุมาริกาผู้ทำบุญร่วมกับบุตร
นี้เป็นแน่; พวกท่านจงไป, จงพาเอารูปทองคำนี้ไปแล้วนำนางกุมาริกา

ผู้มีรูปเช่นนี้มา " ดังนี้แล้วส่ง (พราหมณ์เหล่านั้น)ไป. พราหมณ์เหล่านั้น
รับว่า " ดีละ " เที่ยวจาริกไป ไปถึงสาคลนคร ในแคว้นชื่อมัททะ.

พราหมณ์พบหญิงมีรูปดุจรูปหล่อแล้วกลับมา


ก็ในนครนั้น ได้มีกุมาริกาคนหนึ่งมีรูปสวย มีอายุรุ่นราว 16 ปี.
มารดาบิดาให้นางอยู่ที่พื้นชั้นบนแห่งปราสาท 7 ชั้น พราหมณ์แม้เหล่า-
นั้นแล คิดกันว่า " ถ้าในนครนี้ จักมีกุมาริกาเห็นปานนี้, ชนทั้งหลาย
เห็นรูปทองคำนี้แล้ว ก็จักกล่าวว่า รูปจำลองนี้สวยเหมือนธิดาของตระกูล
โน้น " ดังนี้แล้ว จึงตั้งรูปทองคำนั้นไว้ริมทางไปสู่ท่าน้ำ นั่ง (คอยเฝ้า)
ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น หญิงแม่นมของกุมาริกานั้น ให้กุมาริกานั้นอาบน้ำแล้ว
ใคร่จะอาบเองบ้าง จึงไปสู่ท่าน้ำ เห็นรูปนั้นสำคัญว่า " ธิดาของเรา "
จึงกล่าวว่า " โอ แม่หัวดื้อ, เราให้เจ้าอาบน้ำแล้วออกมาเมื่อกี้นี้เอง, เจ้า
ล่วงหน้ามาที่นี่ก่อนเรา " ดังนี้แล้ว จึงตีด้วยมือ รู้ความที่รูปนั้นแข็งและ
ไม่มีวิการ จึงกล่าวว่า " เราได้ทำความเข้าใจว่า ่นางนี้เป็นธิดาของเรา
นั่นอะไรกันเล่า ? "
ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ถามหญิงแม่นมนั่นว่า " แม่ ธิดา
ของท่าน เห็นปานนี้หรือ ? "
หญิงแม่นม. นี้จะมีค่าอะไร ในสำนักธิดาของเรา.
พราหมณ์. ถ้ากระนั้น ท่านจงแสดงธิดาของท่าน แก่พวกเรา.
หญิงแม่นมนั้น ไปสู่เรือนพร้อมด้วยพราหมณ์ทั้งหลายนั้นแล้ว ก็
บอกแก่นาย (เจ้าบ้าน). นายทำความชื่นชมกับพวกพราหมณ์แล้ว ให้ธิดา

ลงมายืนอยู่ในที่ใกล้รูปทองคำ ณ ปราสาทชั้นล่าง. รูปทองคำได้เป็นรูป
หมดรัศมีแล้ว. พวกพราหมณ์ ให้รูปทองคำนั้นแก่นายนั้นแล้วมอบหมาย
กุมาริกาไว้ แล้วไปบอกแก่มารดาบิดาของอนิตถิคันธกุมาร.

คู่ครองของอนิตถิคันธกุมารตายในระหว่างทาง


มารดาบิคานั้นมีใจยินดีแล้ว กล่าวว่า " ท่านทั้งหลายจงไป, นำ
กุมาริกานั้นมาโดยเร็ว " ดังนี้แล้ว ส่งไปด้วยสักการะเป็นอันมาก.
ฝ่ายกุมาร ได้ยินข่าวนั้น ก็ยังความรักให้เกิดขึ้นด้วยสามารถการ
ได้ยินว่า " มีเด็กหญิงรูปร่างสวยยิ่งกว่ารูปทองคำอีก " จึงกล่าวว่า " ท่าน
ทั้งหลายจงนำมาโดยเร็วเถิด. " กุมาริกาเเม้นั้นแล อันเขายกขึ้นสู่ยาน นำ
มาอยู่ มีโรคลมอันความกระทบกระทั่งแห่งยานให้เกิดขึ้นแล้ว ได้ทำกาละ
ในระหว่างทางนั่นเอง เพราะความที่นางเป็นผู้ละเอียดอ่อนยิ่งนัก.

ความรักก่อให้ระทมทุกข์


แม้กุมาร ก็ถามอยู่เสมอว่า " มาแล้วหรือ ? " ชนทั้งหลายไม่บอก
แก่กุมารนั้น ซึ่งถามอยู่ด้วยความสิเนหาอันยิ่ง โดยพลันทีเดียว ทำการ
อำพรางเสีย 2 - 3 วันแล้วจึงบอกเรื่องนั้น. กุมารนั้นเกิดโทมนัสขึ้นว่า
" เราไม่ได้สมาคมกับหญิงชื่อเห็นปานนั้นเสียแล้ว " ได้เป็นผู้ถูกทุกข์คือ
โศกประหนึ่งภูเขาท่วมทับแล้ว.

พระศาสดาทรงเเสดงอุบายระงับความโศก


พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยของกุมารนั้น เมื่อเสด็จไปบิณฑบาต
จึงได้เสด็จไปยังประตูเรือนนั้น. ลำดับนั้น มารดาบิดาของกุมารนั้น
อัญเชิญพระศาสดาเสด็จเข้าไปภายในเรือน แล้วอังคาสโดยเคารพ.

ในเวลาเสร็จภัตกิจ พระศาสดาตรัสถามว่า " อนิตถิคันธกุมารไป
ไหน ? "
มารดาบิดา. พระเจ้าข้า อนิตถิคันธกุมารนั่น อดอาหารนอนอยู่
ในห้อง.
พระศาสดา. จงเรียกเธอมา.
อนิตถิคันธกุมารนั้น มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วน
ข้างหนึ่ง. เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า " กุมาร ความโศกมีกำลังเกิดขึ้น
แล้วแก่เธอหรือ ? " จึงกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า.
ความโศกมีกำลังเกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ เพราะได้ยินว่าหญิงชื่อเห็นปานนี้
ทำกาละในระหว่างทางเสียแล้ว แม้ภัต ข้าพระองค์ก็ไม่หิว. "
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " กุมาร ก็เธอรู้ไหมว่าความ
โศกเกิดแก่เธอ เพราะอาศัยอะไร ? "
อนิตถิคันธกุมาร. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า " กุมาร ความโศกมีกำลังเกิดขึ้นแก่เธอ เพราะ
อาศัยกาม. เพราะความโศกก็ดี ภัยก็ดี ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยกาม "
ดังนี้แล้ว จรัสพระคาถานี้ว่า :-
5. กามโต ชายตี โสโก กามโต ชายตี ภยํ
กามโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่กาม ภัยย่อมเกิดแต่
กาม; ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว
จากกาม, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามโต ความว่า จากวัตถุกามและกิเลส-
กาม. อธิบายว่า ความโศกก็ดี ภัยก็ดี ย่อมอาศัยกามแม้ทั้งสองอย่างนั่น
เกิด.
ในกาลจบเทศนา อนิตถิคันธกุมารตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ดังนี้
แล.
เรื่องอนิตถิคันธกุมาร จบ.

6. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง [170]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์คน
ใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ตณฺหาย ชายตี " เป็นต้น.

พระศาสดาเสด็จไปหาพราหมณ์ผู้มิจฉาทิฏฐิ


ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ วันหนึ่งไปสู่ฝั่งแม่น้ำแล้ว
ถางนาอยู่. พระศาสดาทรงเห็นความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยของเขา จึงได้
เสด็จไปสู่สำนักของเขา. เขาแม้เห็นพระศาสดา ก็ไม่ทำสามีจิกรรมเลย
ได้นิ่งเสีย.
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสทักเขาก่อนว่า " พราหมณ์ ท่านกำลัง
ทำอะไร ? "
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังแผ้วถางนาอยู่.
พระศาสดาตรัสเพียงเท่านั้นแล้วก็เสด็จไป แม้ในวันรุ่งขึ้น พระ-
ศาสดาเสด็จไปสำนักของเขาผู้มาแล้วเพื่อจะไถนา ตรัสถามว่า " พราหมณ์
ท่านทำอะไรอยู่ ? " ทรงสดับว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังไถนา "
ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป แม้ในวันต่อมาเป็นต้น พระศาสดาก็เสด็จไป
ตรัสถามเหมือนอย่างนั้น ทรงสดับว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลัง
หว่าน กำลังไขน้ำ กำลังรักษานา " ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป.