เมนู

ดูหมิ่น คือไม่ควรดูถูกบุญ อย่างนี้ว่า " เราทำบุญมีประมาณน้อย บุญมี
ประมาณน้อยจักมาถึง ด้วยอำนาจแห่งวิบากก็หาไม่. เมื่อเป็นเช่นนี้
กรรมนิดหน่อยจักเห็นเราที่ไหน ? หรือว่าเราจักเห็นกรรมนั้นที่ไหน ?
เมื่อไรบุญนั่นจักเผล็ดผล ? เหมือนอย่างว่า ภาชนะดินที่เขาเปิดฝาตั้งไว้
ย่อมเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา (ทีละหยาด ๆ) ไม่ขาดสายได้ ฉันใด,
ธีรชน คือบุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อสั่งสมบุญทีละน้อย ๆ ชื่อว่าเต็มด้วยบุญ
ได้ ฉันนั้น."
ในกาลจบเทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. พระธรรม-
เทศนาได้มีประโยชน์แม้เเก่บริษัทที่มาประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ จบ.

7. เรื่องมหาธนวาณิช [101]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพ่อค้ามีทรัพย์
มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "วาณิโชว ภยํ มคฺคํ" เป็นต้น.

พ่อค้านิมนต์ภิกษุ 500 เดินทางร่วม


ดังได้สดับมา พวกโจร 500 คน แสวงหาช่องในเรือนของพ่อค้า
นั้น ไม่ได้(ช่อง) แล้ว. โดยสมัยอื่น พ่อค้านั้นบรรทุกเกวียน 500 เล่ม
ให้เต็มด้วยสิ่งของแล้ว ให้เผดียงแก่ภิกษุทั้งหลายว่า " เราจะไปสู่ที่ชื่อ
โน้นเพื่อค้าขาย พระผู้เป็นเจ้าเหล่าใดประสงค์จะไปสู่ที่นั้น. ขอนิมนต์
พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นจงออกไป. จักไม่ลำบากด้วยภิกษาในหนทาง. "
ภิกษุ 500 รูปฟังคำนั้นแล้ว ได้เดินทางไปกับพ่อค้านั้น. โจรแม้เหล่านั้น
ได้ข่าวว่า " ได้ยินว่า พ่อค้านั้นออกไปแล้ว " ได้ไปซุ่มอยู่ในดง.
ฝ่ายพ่อค้าไปแล้ว ยึดเอาที่พักใกล้บ้านแห่งหนึ่งที่ปากดง จัดแจง
โคและเกวียนเป็นต้นสิ้น 2-3 วัน และถวายภิกษาแก่ภิกษุเหล่านั้นเป็น
นิตย์เทียว.

พวกโจรให้คนใช้ไปสืบข่าวพ่อค้า


พวกโจร เมื่อพ่อค้านั้นล่าช้าอยู่ จึงส่งบุรุษคนหนึ่งไปด้วยสั่งว่า
" เจ้าจงไป. จงรู้วันออก (เดินทาง) ของพ่อค้านั้นแล้วจงมา. " บุรุษ
นั้นไปถึงบ้านนั้นแล้ว ถามสหายคนหนึ่งว่า " พ่อค้าจักออกไปเมื่อไร "
สหายนั้นตอบว่า " โดยกาลล่วงไป 2-3 วัน " ดังนี้แล้วกล่าวว่า " ก็
ท่านถามเพื่ออะไร ? "

ทีนั้น บุรุษนั้นบอกแก่เขาว่า " พวกข้าพเจ้าเป็นโจร 500 ซุ่มอยู่
ในดงเพื่อต้องการพ่อค้านั่น." ฝ่ายสหาย กล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น ท่านจง
ไป. พ่อค้าจักออกไปโดยเร็ว " ส่งบุรุษนั้นไปแล้ว คิดว่า " เราจักห้าม
พวกโจรหรือพ่อค้าดีหนอ ? " ตกลงใจว่า " ประโยชน์อะไรของเราด้วย
พวกโจร ภิกษุ 500 รูปอาศัยพ่อค้าเป็นอยู่. เราจักให้สัญญาแก่พ่อค้า "
แล้วได้ไปสู่สำนักของพ่อค้านั้น ถามว่า " ท่านจักไปเมื่อไร " พ่อค้า
ตอบว่า ในวันที่ 3 " กล่าวว่า " ท่านจงทำตามคำของข้าพเจ้า, ได้ยิน
ว่าพวกโจร 500 ซุ่มอยู่ในดงเพื่อต้องการตัวท่าน, ท่านอย่าเพิ่งไปก่อน. "

พ่อค้าถูกสกัดต้องพักอยู่ในระหว่างทาง


พ่อค้า. ท่านรู้อย่างไร ?
บุรุษสหาย. เพื่อนของข้าพเจ้ามีอยู่ในระหว่างพวกโจรเหล่านั้น.
ข้าพเจ้ารู้เพราะคำบอกเล่าของเขา.
พ่อค้า. ถ้าเช่นนั้น ประโยชน์อะไรของเราด้วยการไปจากที่นี้.
เราจักกลับไปเรือนละ.
เมื่อพ่อค้านั้นชักช้า บุรุษที่พวกโจรเหล่านั้นส่งมาอีก มาถึงแล้ว
ถามสหายนั้น ได้ฟังความเป็นไปนั้นแล้ว ไปบอกแก่พวกโจรว่า " ได้
ยินว่า พ่อค้าจักกลับคืนไปเรือนทีเดียว. " พวกโจรฟังคำนั้นแล้ว ได้
ออกจากดงนั้นไปซุ่มอยู่ริมหนทางนอกนี้. เมื่อพ่อค้านั้นชักช้าอยู่ โจร
เหล่านั้นก็ส่งบุรุษไปในสำนักของสหายแม้อีก. สหายนั้นรู้ความที่พวกโจร
ชุ่มอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็แจ้งแก่พ่อค้าอีก.
พ่อค้าคิดว่า " แม้ในที่นี่ ความขาดแคลน (ด้วยอะไร ๆ) ของ
เราก็ไม่มี, เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักไม่ไปข้างโน้น ไม่ไปข้างนี้, จักอยู่ที่นี่

แหละ " ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของภิกษุทั้งหลาย เรียนว่า " ท่านผู้เจริญ
ได้ยินว่า พวกโจรประสงค์จะปล้นผม ซุ่มอยู่ริมหนทาง, ครั้นได้ยินว่า
บัดนี้ พ่อค้าจักกลับมาอีก.' (จึงไป) ซุ่มอยู่ริมหนทางนอกนี้, ผมจักไม่ไป
ทั้งข้างโน้นทั้งข้างนี้ จักพักอยู่ที่นี่แหละชั่วคราว; ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ประสงค์จะอยู่ที่นี่ก็จงอยู่. ประสงค์จะไปก็จงไปตามความพอใจของตน. "

ภิกษุลาพ่อค้ากลับไปเมืองสาวัตถี


พวกภิกษุกล่าวว่า " เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกฉันจักกลับ. " อำลา
พ่อค้าแล้ว ในวันรุ่งขึ้น ไปสู่เมืองสาวัตถี ถวายบังคมพระศาสดานั่งอยู่
แล้ว.

สิ่งที่ควรเว้น


พระศาสดา ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่ไปกับพ่อค้า
มีทรัพย์มากหรือ ? " เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลว่า " อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พวกโจรซุ่มอยู่ริมทางทั้งสองข้าง เพื่อต้องการปล้นพ่อค้าผู้มีทรัพย์มาก.
เพราะเหตุนั้น เขาจึงพักอยู่ในที่นั้นแล, ส่วนพวกข้าพระองค์ ลาเขากลับ
มา " ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าผู้มีทรัพย์มาก ย่อมเว้นทาง (ที่มีภัย)
เพราะความที่พวกโจรมีอยู่, บุรุษแม้ใคร่จะเป็นอยู่ ย่อมเว้น ยาพิษอันร้าย
แรง. แม้ภิกษุทราบว่า 'ภพ 3 เป็นเช่นกับหนทางที่พวกโจรซุ่มอยู่.่
แล้วเว้นกรรมชั่วเสียควร.' ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
7. วาณิโชว ภยํ มคฺคํ อปฺปสตฺโถ มหทฺธโน
วิสํ ชีวิตุกาโมว ปาปานิ ปริวชฺชเย.

บุคคลพึงเว้นกรรมชั่วทั้งหลายเสีย, เหมือนพ่อ-
ค้ามีทรัพย์มาก มีพวกน้อย เว้นทางอันพึงกลัว,
(และ) เหมือนผู้ต้องการจะเป็นอยู่ เว้นยาพิษเสีย
ฉะนั้น."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภยํ ได้แก่ อันน่ากลัว, อธิบายว่า
ชื่อว่ามีภัยเฉพาะหน้า เพราะเป็นทางที่พวกโจรซุ่มอยู่. ท่านกล่าวอธิบาย
คำนี้ไว้ว่า " พ่อค้าผู้มีทรัพย์มาก มีพวกน้อย เว้นทางที่มีภัยเฉพาะหน้า
ฉันใด. ผู้ต้องการจะเป็นอยู่ ย่อมเว้นยาพิษอันร้ายแรงฉันใด. ภิกษุผู้
บัณฑิต ควรเว้นกรรมชั่วทั้งหลายแม้มีประมาณน้อยเสียฉันนั้น. "
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้น บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. พระธรรมเทศนาได้เป็นประโยชน์เเม้เเก่มหาชนผู้มา
ประชุม ดังนี้แล.
เรื่องมหาธนวาณิช จบ.

8. เรื่องนายพรานกุกุกฏมิตร [102]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนายพรานชื่อ
กุกกุฏมิตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปาณิมหิ เจ วโณ นาสฺส "
เป็นต้น.

ธิดาเศรษฐีรักพรานกุกกุฏมิตร


ได้ยินว่า ธิดาเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ เจริญวัยแล้ว เพื่อ
ประโยชน์แก่การรักษา มารดาบิดาจึงมอบหญิงคนใช้ให้คนหนึ่ง ให้อยู่ใน
ห้องบนปราสาท 7 ชั้น ในเวลาเย็นวันหนึ่ง แลไปในระหว่างถนน
ทางหน้าต่าง เห็นนายพรานคนหนึ่งชื่อกุกกุฏมิตร ผู้ถือบ่วง 500 และ
หลาว 500 ฆ่าเนื้อทั้งหลายเลี้ยงชีพ ฆ่าเนื้อ 500 ตัวแล้วบรรทุกเกวียน
ใหญ่ให้เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์เหล่านั้น นั่งบนแอกเกวียนเข้าไปสู่พระนคร
เพื่อต้องการขายเนื้อ เป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในนายพรานนั้น ให้บรรณาการ
ในมือหญิงคนใช้ ส่งไปว่า " เจ้าจงไป. จงให้บรรณาการแก่บุรุษนั้น
รู้เวลาไป (ของเขา) แล้วจงมา. "
หญิงคนใช้ไปแล้ว ให้บรรณาการแก่นายพรานนั้นแล้ว ถามว่า
" ท่านจักไปเมื่อไร ?" นายพรานตอบว่า " วันนี้เราขายเนื้อแล้ว จัก
ออกไปโดยประตูชื่อโน้นแต่เช้าเทียว." หญิงคนใช้ฟังคำที่นายพรานนั้น
บอกแล้ว กลับมาบอกแก่นาง.

ธิดาเศรษฐีลอบหนีไปกับนายพราน


ธิดาเศรษฐีรวบรวมผ้าและอาภรณ์อันควรแก่ความเป็นของที่ตน
ควรถือเอา นุ่งผ้าเก่า ถือหม้อออกไปแต่เช้าตรู่เหมือนไปสู่ท่าน้ำกับพวก

นางทาสี ถึงที่นั้นแล้วได้ยืนคอยการมาของนายพรานอยู่. แม้นายพรานก็
ขับเกวียนออกไปแต่เช้าตรู่. ผ่ายนางก็เดินตามหลังนายพรานนั้นไป. เขา
เห็นนางจึงพูดว่า " ข้าพเจ้าไม่รู้จักเจ้าว่า ' เป็นธิดาของผู้ชื่อโน้น .' แน่ะ
แม่ เจ้าอย่าตามฉันไปเลย. " นางตอบว่า "ท่านไม่ได้เรียกฉันมา ฉัน
มาตามธรรมดาของตน. ท่านจงนิ่ง ขับเกวียนของตนไปเถิด." เขาห้าม
นางแล้ว ๆ เล่า ๆ ทีเดียว. ครั้นนางพูดกับเขาว่า " อันการห้ามสิริอันมา
สู่สำนักของตนย่อมไม่ควร " นายพรานทราบการมาของนางเพื่อตนโดย
ไม่สงสัยแล้ว ได้อุ้มนางขึ้นเกวียนไป.
มารดาบิดาของนางให้คนหาข้างโน้นข้างนี้ก็ไม่พบ สำคัญว่า " นาง
จักตายเสียแล้ว " จึงทำภัตเพื่อผู้ตาย1. แม้นางอาศัยการอยู่ร่วมกับนาย-
พรานนั้น คลอดบุตร 7 คนโดยลำดับ ผูกบุตรเหล่านั้นผู้เจริญวัยเติบโต
แล้ว ด้วยเครื่องผูกคือเรือน2.

กุกกุฏมิตรอาฆาตในพระพุทธเจ้า


ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง
ทรงเห็นนายพรานกุกกุฏมิตรกับบุตรและสะใภ้ เข้าไปภายในข่ายคือพระ-
ญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญว่า " นั่นเหตุอะไรหนอแล ? " ทรง
เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของชนเหล่านั้นแล้ว ทรงถือบาตรและ
จีวร ได้เสด็จไปที่ดักบ่วงของนายพรานนั้นแต่เช้าตรู่. วันนั้นแม้เนื้อ
สักตัวหนึ่งก็มิได้ติดบ่วง.
พระศาสดาทรงแสดงรอยพระบาท ที่ใกล้บ่วงของเขาแล้วประทับ
นั่งที่ใต้ร่มพุ่มไม้พุ่มหนึ่งข้างหน้า. นายพรานกุกกุฏมิตรถือธนูไปสู่บ่วง
1. ทำบุญเลี้ยงพระแล้วอุทิศผลบุญให้ผู้ตาย. 2. จัดแจงแต่งงานให้มีเหย้าเรือน.

แต่เช้าตรู่ ตรวจดูบ่วงจำเดิมแต่ต้น ไม่พบแม้ตัวเดียวซึ่งติดบ่วง ได้
เห็นรอยพระบาทของพระศาสดาแล้ว. ทีนั้นเขาได้ดำริฉะนี้ว่า " ใครเที่ยว
ปล่อยเนื้อตัวติด (บ่วง) ของเรา." เขาผูกอาฆาตในพระศาสดา เมื่อเดิน
ไปก็พบพระศาสดาประทับนั่งที่โคนพุ่มไม้คิดว่า " สมณะองค์นี้ปล่อยเนื้อ
ของเรา. เราจักฆ่าสมณะนั้นเสีย." ดังนี้แล้ว ได้โก่งธนู.
พระศาสดาให้โก่งธนูได้ (แต่) ไม่ให้ยิง (ธนู) ไปได้. เขาไม่อาจ
ทั้งเพื่อปล่อยลูกศรไป ทั้งลดลง มีสีข้างทั้ง 2 ปานดังจะแตกมีน้ำลายไหล
ออกจากปาก เป็นผู้อ่อนเพลีย ได้ยืนอยู่แล้ว.
ครั้งนั้น พวกบุตรของเขาไปเรือนพูดกันว่า " บิดาของเราล่าช้า
อยู่. จักมีเหตุอะไรหนอ ?" อันมารดาส่งไปว่า " พ่อทั้งหลาย พวกเจ้า
จงไปสู่สำนักของบิดา." ต่างก็ถือธนูไปเห็นบิดายืนอยู่เช่นนั้น คิดว่า " ผู้
นี้ จักเป็นปัจจามิตรของบิดาพวกเรา." ทั้ง 7 คนโก่งธนูแล้ว ได้ยืนอยู่
เหมือนกับบิดาของพวกเขายืนแล้ว เพราะอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า.

กุกกุฏมิตรเลิกอาฆาตในพระพุทธเจ้า


ลำดับนั้น มารดาของพวกเขาคิดว่า " ทำไมหนอแล ? บิดา (และ)
บุตรจึงล่าช้าอยู่ " ไปกับลูกสะใภ้7 คน เห็นชนเหล่านั้นยืนอยู่อย่างนั้น
คิดว่า " ชนเหล่านั้นยืนโก่งธนูต่อใครหนอแล ?" แลไปก็เห็นพระศาสดา
จึงประคองแขนทั้ง 2 ร้องลั่นขึ้นว่า " พวกท่านอย่ายังบิดาของเราให้
พินาศ พวกท่านอย่ายังบิดาของเราให้พินาศ."
นายพรานกุกกุฏมิตรได้ยินเสียงนั้นแล้ว คิดว่า " เราฉิบหายแล้ว
หนอ, นัยว่า ผู้นั้นเป็นพ่อตาของเรา. ตายจริง เราทำกรรมหนัก." แม้
พวกบุตรของเขาก็คิดว่า " นัยว่า ผู้นั้นเป็นตาของเรา, ตายจริง เราทำ

กรรมหนัก. " นายพรานกุกกุฏมิตร เข้าไปตั้งเมตตาจิตไว้ว่า " คนนี้เป็น
พ่อตาของเรา. " แม้พวกบุตรของเขาก็เข้าไปตั้งเมตตาจิตว่า " คนนี้เป็น
ตาของพวกเรา." ขณะนั้น ธิดาเศรษฐีผู้มารดาของพวกเขาพูดว่า " พวก
เจ้าจงทิ้งธนูเสียโดยเร็วแล้วให้บิดาของฉันอดโทษ."

เขาทั้งหมดสำเร็จโสดาปัตติผล


พระศาสดา ทรงทราบจิตของเขาเหล่านั้นอ่อนแล้ว จึงให้ลดธนูลง
ได้. ชนเหล่านั้นทั้งหมด ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ให้พระองค์อดโทษ
ว่า " ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอพระองค์ทรงอดโทษแก่ข้าพระองค์ ดัง
นี้แล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้นพระศาสดา ตรัสอนุปุพพีกถาแก่
พวกเขา. ในเวลาจบเทศนา นายพรานกุกกุฎมิตรพร้อมทั้งบุตรและสะใภ้
มีตนเป็นที่ 15 ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. พระศาสดาเสด็จเที่ยวไป
บิณฑบาต ได้เสด็จไปสู่วิหารภายหลังภัต. ลำดับนั้น พระอานนท์เถระ
ทูลถามพระองค์ว่า " วันนี้พระองค์เสด็จไปไหน ? พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. ไปสำนักของกุกกุฏมิตร อานนท์.
พระอานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นายพรานกุกกุฏมิตรพระองค์
ทำให้เป็นผู้ไม่ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้วหรือ ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เออ อานนท์ นายพรานกุกกุฏมิตรนั้นมีตนเป็นที่ 15
ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่คลอนแคลน เป็นผู้หมดสงสัยในรัตนะ 3 เป็นผู้ไม่
ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้ว .
พวกภิกษุกราบทูลว่า " แม้ภริยาของเขามีมิใช่หรือ ? พระเจ้าข้า "
พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย, นางเป็นกุมาริกาในเรือน
ของผู้มีตระกูลเทียว บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. "

พระโสดาบันไม่ทำบาป


พวกภิกษุสนทนากันว่า " ได้ยินว่า ภริยาของนายพรานกุกกุฏมิตร
บรรลุโสดาปัตติผลในกาลที่ยังเป็นเด็กหญิงนั่นแล แล้วไปสู่เรือนของนาย-
พรานนั้น ได้บุตร 7 คน. นางอันสามีสั่งตลอดกาลเท่านี้ว่า ' หล่อนจง
นำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา.' ได้ให้สิ่ง
เหล่านั้นแล้ว, นายพรานนั้นถือเครื่องประหารที่นางให้ไปทำปาณาติบาต;
แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือหนอ ? "
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
" ด้วยเรื่องชื่อนี้." ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำ
ปาณาติบาต. แต่นางได้ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่า 'เราจักทำตามคำสามี.'
จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต;
จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้
ฉันใด. ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลาย
มีธนูเป็นต้นออกให้เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
8. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิสํ
นาพฺพณํ วิสมเนฺวติ นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต.
" ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา
พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า
มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่
ฉันนั้น."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาสฺส แปลว่า ไม่พึงมี.
บทว่า หเรยฺย แปลว่า พึงอาจนำไปได้.
ถามว่า " เพราะเหตุไร ? "
แก้ว่า " เพราะยาพิษไม่ซึมไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล " จริงอยู่ ยาพิษ
ย่อมไม่อาจซึมซาบเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด; ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่
ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มี
อกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, แท้จริง บาปย่อมไม่ติดตามจิตของบุคคล
นั้น เหมือนยาพิษไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผลฉะนั้น ดังนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้นแล้ว.

บุรพกรรมของกุกกุฏมิตรพร้อมด้วยบุตรและสะใภ้


โดยสมัยอื่น พวกภิกษุสนทนากันว่า " อะไรหนอเเล เป็นอุปนิสัย
แห่งโสดาปัตติมรรค ของนายพรานกุกกุฏมิตร ทั้งบุตร และสะใภ้ ?
นายพรานกุกกุฏมิตรนี้ เกิดในตระกูลของพรานเนื้อเพราะเหตุอะไร ? "
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวก
เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
" ด้วยเรื่องชื่อนี้. " ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล หมู่ชนจัดสร้าง
เจดีย์บรรจุพระธาตุของพระกัสสปทสพล กล่าวกันอย่างนี้ว่า " อะไรหนอ
จักเป็นดินเหนียว ? อะไรหนอ จักเป็นน้ำเชื้อ แห่งเจดีย์นี้ ? ่ ่