เมนู

พระศาสดาเสด็จลงด้วยพุทธสิริเห็นปานนั้น อันท่านไม่เคยเห็นแล้ว ใน
กาลก่อนแต่นี้. เพราะฉะนั้น จึงประกาศความยินดีของตน ด้วยคาถา
ทั้งหลายเป็นต้นว่า :-
" พระศาสดา ผู้มีถ้อยคำอันไพเราะ ทรงเป็น
อาจารย์แห่งคณะ1 เสด็จมาจากดุสิตอย่างนี้ เรายัง
ไม่เห็น หรือไม่ได้ยินต่อใคร ในกาลก่อนแต่นี้ "

แล้วทูลว่า " พระเจ้าข้า วันนี้เทวดาและมนุษย์แม้ทั้งหมดย่อมกระหยิ่ม
ปรารถนาต่อพระองค์. "
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านว่า " สารีบุตร ชื่อว่าพระพุทธเจ้า
ผู้ประกอบพร้อมด้วยคุณเห็นปานนี้ ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายโดยแท้." เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
2. เย ฌานปฺปสุตา ธีรา เนกฺขมฺมูปสเม รตา
เทวาปิ เตสํ ปิหยนฺติ สมฺพุทฺธานํ สตีมตํ.
" พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใด เป็นปราชญ์ ขวน
ขวายในฌาน ยินดีแล้วในธรรมที่เข้าไปสงบด้วย
สามารถแห่งการออก, แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ก็ย่อมกระหยิ่มต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เย ฌานปฺปสุตา ความว่า ประกอบ
แล้ว ขวนขวายแล้วในฌาน 2 อย่างเหล่านี้ คือ ลักขณูปนิชฌาน อารัม-
1. คณิมาคโต ตัดบทเป็น คณี อาคโต. อรรถกถาว่า.....คณาจริยาตฺตา คณี.....

มณูปนิชฌาน ด้วยการนึกการเข้าการอธิษฐานการออกและการพิจารณา.
บรรพชา อันผู้ศึกษาไม่พึงถือว่า " เนกขัมมะ " ในคำว่า เนขมฺมูปสเม
รตา
นี้. ก็คำ " เนกขัมมะ " นั่น พระองค์ตรัส หมายเอาความยินดี
ในนิพพาน อันเป็นที่เข้าไปสงบกิเลส. บทว่า เทวาปิ ความว่า เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายย่อมกระหยิ่ม คือปรารถนาต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น.
บทว่า สตีมฺตํ ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ปรารถนาความเป็น
พระพุทธเจ้าว่า " น่าชมจริงหนอ แม้เราพึงเป็นพระพุทธเจ้า " ดังนี้
ชื่อว่าย่อมกระหยิ่มต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีพระคุณเห็นปานนี้ ผู้
ประกอบพร้อมแล้วด้วยสติ.
ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ประมาณ 30 โกฏิ.
ภิกษุ 500 สัทธิวิหาริกของพระเถระ ตั้งอยู่แล้วในพระอรหัต.

สังกัสสนครเป็นที่เสด็จลงจากดาวดึงส์


ได้ยินว่า การทำยมกปาฏิหาริย์แล้วจำพรรษาในเทวโลก แล้วเสด็จ
ลงที่ประตูสังกัสสนคร อันพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่ทรงละแล้วแล.
ก็สถานที่พระบาทเบื้องขวาประดิษฐาน ณ ที่เสด็จลงนั้น มีนามว่าอจล-
เจติยสถาน. พระศาสดาประทับยืน ณ ที่นั้น ตรัสถามปัญหาในวิสัยของ
ปุถุชนเป็นต้น. พวกปุถุชนแก้ปัญหาได้ในวิสัยของตนเท่านั้น ไม่สามารถ
จะแก้ปัญหาในวิสัยของพระโสดาบันได้. พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระ-
โสดาบันเป็นต้นก็เหมือนกัน ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระอริย-
บุคคลทั้งหลาย มีพระสกทาคามีเป็นต้น. พระมหาสาวกที่เหลือไม่สามารถจะ
แก้ปัญหาในวิสัยของพระมหาโมคคัลลานะ. พระมหาโมคคัลลานะไม่

สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระสารีบุตรเถระได้. แม้พระสารีบุตรเถระ
ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระพุทธเจ้าได้เหมือนกัน. พระศาสดา
ทรงแลดูทิศทั้งปวง ตั้งต้นแต่ปาจีนทิศ. สถานที่ทั้งปวง ได้มีเนินเป็นอัน
เดียวกันทีเดียว เทวดาและมนุษย์ใน 8 ทิศ และเทวดาเบื้องบนจด
พรหมโลก และยักษ์นาคและสุบรรณผู้อยู่ ณ ภาคพื้นเบื้องต่ำ ประคอง
อัญชลีกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ชื่อว่าผู้วิสัชนาปัญหานี้มิได้มีในสมาคมนี้,
ขอพระองค์โปรดใคร่ครวญในสมาคมนี้ทีเดียว."

พระสารีบุตรเถระมีปัญญามาก


พระศาสดาทรงดำริว่า " สารีบุตรย่อมลำบาก. ด้วยว่าเธอได้ฟัง
ปัญหาที่เราถามแล้วในพุทธวิสัยนี้ว่า :-
" ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เธอมีปัญญารักษาตน
อันเราถามถึงความเป็นไปของท่าน ผู้มีธรรมอันนับ
พร้อมแล้วทั้งหลาย และพระเสขะทั้งหลาย ซึ่งมี
อยู่มากในโลกนี้ จงบอกความเป็นไปนั้นแก่เรา "

ดังนี้,เป็นผู้หมดความสงสัยในปัญหาว่า ' พระศาสดาย่อมตรัสถามถึงปฏิปทา
เป็นที่มา (มรรคปฏิปทา) ของพระเสขะและอเสขะกะเรา ' ดังนี้ก็จริง,
ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังอัธยาศัยของเราอยู่ว่า ' เราเมื่อกล่าวปฏิปทานี้ด้วยมุข
ไหน ๆ ในธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้น จึงจักอาจถือเอาอัธยาศัยของ
พระศาสดาได้; สารีบุตรนั้นเมื่อเราไม่ให้นัย จักไม่อาจแก้ได้, เรา
จักให้นัยแก่เธอ " เมื่อจะทรงแสดงนัย ตรัสว่า " สารีบุตร เธอจง

พิจารณาเห็นความเป็นจริงนี้. " ได้ยินว่า พระองค์ได้ทรงดำริอย่างนี้ว่า
" สารีบุตรเมื่อถือเอาอัธยาศัยของเราแก้ จักแก้ด้วยสามารถแห่งขันธ์ "
ปัญหานั้นปรากฏแก่พระเถระตั้งร้อยนัย พันนัย พร้อมกับการประทานนัย.
ท่านตั้งอยู่ในนัยที่พระศาสดาประทาน แก้ปัญหานั้นได้เเล้ว. ได้ยินว่า
คนอื่นยกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะทันปัญญาของ
พระสารีบุตรเถระหามิได้. นัยว่า เหตุนั้นแล พระเถระจึงยืนตรงพระพักตร์
พระศาสดา บันลือสีหนาทว่า " พระเจ้าข้า เมื่อฝนตกแม้ตลอดกัลป์ทั้งสิ้น
ข้าพระองค์ก็สามารถเพื่อจะนับ แล้วยกขึ้นซึ่งคะแนนว่า ' หยาดน้ำทั้งหลาย
ตกในมหาสมุทรเท่านี้หยาด, ตกบนแผ่นดินเท่านี้หยาด, บนภูเขาเท่านี้
หยาด." แม้พระศาสดาก็ตรัสกะท่านว่า " สารีบุตร เราก็ทราบความที่
เธอสามารถจะนับได้." ชื่อว่าข้ออุปมาเปรียบด้วยปัญญาของท่านนั้น ย่อม
ไม่มี. เหตุนั้นแล ท่านจึงกราบทูลว่า :-
" ทรายในแม่น้ำคงคา พึงสิ้นไป น้ำในห้วงน้ำ
ใหญ่ พึงสิ้นไป ดินในแผ่นดิน พึงสิ้นไป การแก้
ปัญหาด้วยความรู้ของข้าพระองค์ ย่อมไม่สิ้นไปด้วย
คะแนน. "

มีคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้
เป็นที่พึ่งของโลก ก็ถ้าว่า เมื่อข้าพระองค์แก้ปัญหาข้อหนึ่งแล้ว บุคคล
พึงใส่ทรายเมล็ดหนึ่งหรือหยาดน้ำหยาดหนึ่ง หรือดินร่วนก้อนหนึ่ง เมื่อ
ข้าพระองค์แก้ปัญหาร้อย หรือพัน หรือแสนข้อ พึงใส่คะแนนทั้งหลายมี
ทรายเป็นต้น ทีละหนึ่ง ๆ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ในแม่น้ำคงคา, คะแนนทั้งหลาย

มีทรายเป็นต้นในแม่น้ำคงคาเป็นต้น พึงถึงความสิ้นไปเร็วกว่า: การแก้
ปัญหาของข้าพระองค์ ย่อมไม่สิ้นไป. "
ภิกษุแม้มีปัญญามากอย่างนี้ ก็ยังไม่เห็นเงื่อนต้นหรือเงื่อนปลาย
แห่งปัญหาที่พระศาสดาถามแล้วในพุทธวิสัย ต่อตั้งอยู่ในนัยที่พระศาสดา
ประทานแล้ว จึงแก้ปัญหาได้ ภิกษุทั้งหลายฟังดังนั้นแล้ว สนทนากัน
ว่า " แม้ชนทั้งหมด อันพระศาสดาตรัสถามปัญหาใด ไม่อาจแก้ได้,
พระสารีบุตรเถระผู้เป็นธรรมเสนาบดีผู้เดียวเท่านั้น แก้ปัญหานั้นได้. "
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้วตรัสว่า " สารีบุตรแก้ปัญหาที่มหาชน
ไม่สามารถจะแก้ได้ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ ; แม้ในภพก่อน เธอก็แก้ได้
แล้วเหมือนกัน " ดังนี้แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสชาดก1นี้โดยพิสดาร
ว่า :-
" คนที่มาประชุมกันแล้ว แม้ตั้งพันเป็นกำหนด
คนเหล่านั้นหาปัญญามิได้ พึงคร่ำครวญตั้ง 100 ปี,
บุรุษใดผู้รู้ชัดซึ่งอรรถแห่งภาษิตได้ บุรุษผู้นั้นซึ่งเป็น
ผู้มีปัญญาคนเดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า "
ดังนี้แล.
เรื่องยมกปาฏิหาริย์ จบ.
1. ขุ. ชา. เอก. 27/32.

3. เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ [150]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา ทรงอาศัยนครพาราณสี ประทับอยู่ที่โคนไม้ซึก 7 ต้น
ทรงปรารภพระยานาคชื่อเอรกปัตตะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " กิจฺโฉ
มนุสฺสปฏิลาโภ "
เป็นต้น.

อาบัติเล็กน้อยไม่แสดงเสียก่อนให้โทษ


ทราบว่า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อน
พระยานาคนั้นเป็นภิกษุหนุ่ม ขึ้นเรือไปในแม่น้ำคงคา ยึดใบตะไคร้น้ำ
กอหนึ่ง เมื่อเรือแม้เเล่นไปโดยเร็ว, ก็ไม่ปล่อย. ใบตะไคร้น้ำขาดไปแล้ว.
ภิกษุหนุ่มนั้นไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิดเสียว่า " นี้เป็นโทษเพียงเล็กน้อย "
แม้ทำสมณธรรมในป่าสิ้น 2 หมื่นปี ในกาลมรณภาพ เป็นประดุจใบ
ตะไคร้น้ำผูกคอ แม้อยากจะแสดงอาบัติ เมื่อไม่เห็นภิกษุอื่น ก็เกิดความ
เดือดร้อนขึ้นว่า " เรามีศีลไม่บริสุทธิ์ " จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิด
เป็นพระยานาค ร่างกายประมาทเท่าเรือโกลน. เขาได้มีชื่อว่า " เอรก
ปัตตะ " นั่นแล. ในขณะที่เกิดแล้วนั่นเอง พระยานาคนั้นแลดูอัตภาพ
แล้ว ได้มีความเดือดร้อนว่า " เราทำสมณธรรมตลอดกาลชื่อมีประมาณ
เท่านี้ เป็นผู้บังเกิดในที่มีกบเป็นอาหาร ในกำเนิดแห่งอเหตุกสัตว์."
ในกาลต่อมาเขาได้ธิดาคนหนึ่ง แผ่พังพานใหญ่บนหลังน้ำในแม่น้ำ
คงคา วางธิดาไว้บนพังพานนั้น ให้ฟ้อนรำขับร้องแล้ว.

พระยานาคออกอุบายเพื่อทราบการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า


ทราบว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

เราจักได้ยินความที่พระพุทธเจ้านั้นบังเกิดขึ้น ด้วยอุบายนี้แน่ละ; ผู้ใด
นำเพลงขับ แก้เพลงขับของเราได้, เราจักให้ธิดากับด้วยนาคพิภพอันใหญ่
แก่ผู้นั้น," วางธิดานั้นไว้บนพังพาน ในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน. ธิดา
นั้นยืนฟ้อนอยู่บนพังพานนั้น ขับเพลงขับนี้ว่า :-
" ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่าพระราชา ?
อย่างไรเล่า พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร ?
อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี, อย่างไร ? ท่าน
จึงเรียกว่า ' คนพาล.' "

ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น พากันมาด้วยหวังว่า " เราจักพาเอานางนาค-
มาณวิกา " แล้วทำเพลงขับแก้ ขับไปโดยกำลังปัญญาของตน ๆ. นาง
ย่อมห้ามเพลงขับตอบนั้น. เมื่อนางยืนอยู่บนพังพานทุกกึ่งเดือน ขับเพลง
อยู่อย่างนี้เท่านั้น พุทธันดรหนึ่งล่วงไปแล้ว .

พระศาสดาทรงผูกเพลงขับแก้


ครั้งนั้น พระศาสดาทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง
ทรงตรวจดูโลก ทำเอรกปัตตนาราชให้เป็นต้น ทรงเห็นมาณพชื่อ
อุตตระ ผู้เข้าไปภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญดูว่า
" จักมีเหตุอะไร ? " ได้ทรงเห็นแล้วว่า " วันนี้เป็นวันที่เอรกปัตตนาคราช
ทำธิดาไว้บนพังพานแล้วให้ฟ้อน อุตตรมาณพนี้เรียนเอาเพลงขับแก้ที่เรา
ให้เเล้วจักเป็นโสดาบัน เรียนเอาเพลงขับนั้นไปสู่สำนักของนาคราชนั้น,
นาคราชนั้นฟังเพลงขับแก้นั้นแล้ว จักทราบว่า ' พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ
ขึ้นแล้ว ' จักมาสู่สำนักของเรา, เมื่อนาคราชนั้นมาแล้ว, เราจักกล่าว

คาถาในสมาคมอันใหญ่, ในกาลจบคาถา สัตว์ประมาณ 8 หมื่น 4 พัน
จักตรัสรู้ธรรม"
พระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ โคนต้นซึกต้นหนึ่ง
บรรดาต้นซึก 7 ต้นที่มีอยู่ในที่ไม่ไกลแต่เมืองพาราณสี. ชาวชมพูทวีป
พาเอาเพลงขับแก้เพลงขับไปประชุมกันแล้ว . พระศาสดาทอดพระเนตร
เห็นอุตตรมาณพกำลังไปในที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า " อุตตระ. "
อุตตระ. อะไร ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอจงมานี่ก่อน.
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพนั้น ผู้มาถวายบังคมนั่งลงแล้ว
ถามว่า " เธอจะไปไหน ? "
อุตตรมาณพ. จักไปยังที่ที่ธิดาของเอรกปัตตนาคราช ขับเพลง.
พระศาสดา. ก็เธอรู้เพลงขับแก้เพลงขับหรือ ?
อุตตรมาณพ. ข้าพระองค์ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอจงกล่าวเพลงเหล่านั้นดูก่อน.
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพผู้กล่าวตามธรรมดาความรู้ของ
ตนเท่านั้นว่า " แน่ะอุตตระ นั่น ไม่ใช่เพลงขับแก้, เราจักให้เพลงขับ
แก้แก่เธอ, เธอต้องเรียนเพลงขับแก้นั้น ให้ได้ "
อุตตมาณพ. ดีละ พระเจ้าข้า.

อุตตรมาณพเรียนเพลงแก้จากพระศาสดา


ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " อุตตระ ในกาลที่นางนาคมาณ
วิกาขับเพลง เธอพึงขับเพลงแก้นี้ว่า :-

" ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็นพระราชา,
พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่าธุลีบนพระเศียร, ผู้ไม่
กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี, ผู้กำหนัดอยู่ ท่าน
เรียกว่า คนพาล."

ก็เพลงขับของนางนาคมาณวิกา มีอธิบายว่า:
บาทคาถาว่า กึสุ อธิปตี ราชา ความว่า ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า
จึงชื่อว่าพระราชา ?
คาถาว่า กึสุ ราชา รชสฺสิโร ความว่า อย่างไรพระราชา ย่อม
เป็นผู้ชื่อว่า มีธุลีบนพระเศียร ?
บทว่า กถํ สุ ความว่า อย่างไรกันเอ่ย พระราชานั้นเป็นผู้ชื่อว่า
ปราศจากธุลี ?
ส่วนเพลงขับแก้ มีอธิบายว่า :
บาทคาถาว่า ฉทฺวาราธิปตี ราชา ความว่า ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่แห่ง
ทวาร 6 อันอารมณ์ทั้ง 6 มีรูปเป็นต้นครอบงำไม่ได้ แม้ในทวารหนึ่ง
ผู้นี้ชื่อว่าเป็นพระราชา.
บาทคาถาว่า รชมาโน รชสฺสิโร ความว่า ก็พระราชาใดกำหนัด
อยู่ในอารมณ์เหล่านั้น, พระราชาผู้กำหนัดอยู่นั้น ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร.
บทว่า อรชํ ความว่า ส่วนพระราชาผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้
ปราศจากธุลี.
บทว่า รชํ ความว่า พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า " เป็น
คนพาล"
พระศาสดาครั้นประทานเพลงขับแก้ แก่อุตตรมาณพนั้นอย่างนี้

แล้ว ตรัสว่า " อุตตระ " เมื่อเธอขับเพลงขับนี้ (นาง) จักขับเพลงขับแก้
เพลงขับของเธออย่างนี้ว่า:-
" คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัด ไป, บัณฑิตย่อม
บรรเทาอย่างไร, อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจาก
โยคะ, ท่านผู้อันเราถามแล้ว โปรดบอกข้อนั้นแก่เรา "

ทีนั้น ท่านพึงขับเพลงขับแก้นี้แก่นางว่า :-
" คนพาลอันห้วงน้ำ (คือกามโอฆะเป็นต้น) ย่อม
พัดไป, บัณฑิตย่อมบรรเทา (โอฆะนั้น) เสียด้วย
ความเพียร, บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง
ท่านเรียกว่า ผู้มีความเกษมจากโยคะ "

เพลงขับแก้นั้น มีเนื้อความว่า :-
" คนพาลอันโอฆะ (กิเลสดุจห้วงน้ำ) 4 อย่าง
มีโอฆะคือกามเป็นต้น ย่อมพัดไป, บัณฑิตย่อม
บรรเทาโอฆะนั้น ด้วยความเพียร กล่าวคือสัมมัป-
ปธาน (ความเพียรอันตั้งไว้ชอบ), บัณฑิตนั้นไม่
ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง มีโยคะคือกามเป็นต้น ท่าน
เรียกชื่อว่า ' ผู้มีความเกษมจากโยคะ."

อุตตรมาณพ เมื่อกำลังเรียนเพลงขับแก้นี้เทียว ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผล. เขาเป็นโสดาบัน เรียนเอาคาถานั้นไปแล้ว กล่าวว่า " ผู้เจริญ
ฉันนำเพลงขับแก้เพลงขับมาแล้ว, พวกท่านจงให้โอกาสแก่ฉัน " ได้
คุกเข่าไปในท่ามกลางมหาชนที่ยืนยัดเยียดกันอยู่แล้ว. นางนาคมาณวิกา
ยืนฟ้อนอยู่บนพังพานของพระบิดา แล้วขับเพลงขับว่า

" ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา ? " เป็นต้น.
อุตตรมาณพ ขับเพลงแก้ว่า
" ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็พระราชา " เป็นอาทิ. นาง-
นาคมาณวิกา ขับเพลงโต้แก่อุตตรมาณพนั้นอีกว่า
" คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัคไป ? " เป็นต้น.
ทีนั้น อุตตรมาณพเมื่อจะขับเพลงแก้แก่นาง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
" คนพาลอันห้วงน้ำย่อมพัดไป " ดังนี้เป็นต้น.

นาคราชทราบว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว


นาคราชพอฟังคาถานั้น ทราบความที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ดีใจ
ว่า " เราไม่เคยฟังชื่อบทเห็นปานนี้ ตลอดพุทธันดรหนึ่ง, " ผู้เจริญ
พระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในโลกแล้วหนอ " จึงเอาหางฟาดน้ำ, คลื่นใหญ่
เกิดขึ้นแล้ว. ฝั่งทั้งสองพังลงแล้ว. พวกมนุษย์ในที่ประมาณอุสภะหนึ่ง
แต่ฝั่งข้างนี้และฝั่งข้างโน้น จมลงไปในน้ำ. นาคราชนั้น ยกมหาชนมี
ประมาณเท่านั้นวางไว้บนพังพาน แล้วตั้งไว้บนบก. นาคราชนั้นเข้าไป
หาอุตตรมาณพ แล้วถามว่า " แน่ะนาย พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ? "
อุตตระ. ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง มหาราช.
นาคราชนั้นกล่าวว่า " มาเถิดนาย พวกเราจะพากันไป " แล้ว
ได้ไปกับอุตตรมาณพ. ฝ่ายมหาชนก็ได้ไปกับเขาเหมือนกัน. นาคราชนั้น
ไปถึง เข้าไปสู่ระหว่างพระรัศมีมีพรรณะ 6 ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
ได้ยืนร้องไห้อยู่. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนาคราชนั้นว่า " นี่อะไร
กัน ? มหาบพิตร. "
นาคราช. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้