ถวายบังคมพระศาสดา กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งใดเป็น
กัปปิยภัณฑ์หรือเป็นอกัปปิยภัณฑ์ ในโรงทานนี้ หม่อมฉันจักถวายสิ่งนั้น
ทั้งหมดแด่พระองค์เท่านั้น. "
ทานที่พระนางมัลลิกาจัดชื่ออสทิสทาน
ก็ในทานนั้นแล ทรัพย์มีประมาณ 14 โกฏิ เป็นอันพระราชาทรง
บริจาคโดยวันเดียวเท่านั้น. ก็ของ 4 อย่าง คือเศวตฉัตร 1 บัลลังก์
สำหรับนั่ง 1 เชิงบาตร 1 ตั่งสำหรับเช็ดเท้า 1 เป็นของหาค่ามิได้เทียว
เพื่อพระศาสดา. ใคร ๆ ผู้สามารถเพื่อทำทานเห็นปานนี้แล้ว ถวายทาน
แด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ได้มีแล้วอีก; เพราะเหตุนั้นนั่นแล ทานนั้น
จึงปรากฏว่า " อสทิสทาน. " ได้ยินว่า อสทิสทานนั้น มีแด่พระพุทธเจ้า
ทุก ๆพระองค์ ครั้งเดียวเท่านั้น. สตรีเท่านั้นย่อมจัดแจง (ทาน) เพื่อ
พระศาสดาและภิกษุทั้งปวง.
ลักษณะของคนดีคนชั่ว
ก็อำมาตย์ของพระราชา ได้มีสองคน คือกาฬะ 1 ชุณหะ 1. บรรดา
อำมาตย์สองคนนั้น กาฬอำมาตย์คิดว่า " โอ ความเสื่อมรอบแห่งราช-
ตระกูล, ทรัพย์ประมาณ 14 โกฏิ ถึงความสิ้นไปโดยวันเดียวเท่านั้น,
ภิกษุเหล่านี้ บริโภคทานแล้วจักไปนอนหลับ; โอ ราชตระกูลฉิบหาย
แล้ว. " ส่วนชุณหอำมาตย์คิดว่า " โอ ทานของพระราชา, ก็ใคร ๆไม่
ดำรงในความเป็นพระราชา ไม่อาจเพื่อถวายทานเห็นปานนี้ได้. พระราชา
ชื่อว่าไม่ให้ส่วนบุญแก่สัตว์ทั้งปวงย่อมไม่มี;. ก็เราอนุโมทนาทานนี้. "
ในที่สุดภัตกิจแห่งพระศาสดา พระราชาทรงรับบาตรเพื่อต้องการ
อนุโมทนา. พระศาสดาทรงดำริว่า " พระราชาถวายมหาทาน เหมือน
ให้ห้วงน้ำใหญ่เป็นไปอยู่. มหาชนได้อาจเพื่อยังจิตให้เลื่อมใสหรือไม่
หนอ ? " พระองค์ทรงทราบวาระจิตของอำมาตย์เหล่านั้นแล้ว ทรงทราบ
ว่า ถ้าเราจักทำอนุโมทนาให้สมควรแก่ทานของพระราชาไซร้: ศีรษะ
ของกาฬอำมาตย์จักแตก 7 เสี่ยง, ชุณหอำมาตย์จักตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล "
ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬอำมาตย์ จึงตรัสพระคาถา 4 บาทเท่านั้น
แด่พระราชาผู้ทรงถวายทานเห็นปานนี้ ประทับยืนอยู่แล้ว เสด็จลุกจาก
อาสนะไปสู่พระวิหาร.
ตรัสสรรเสริญพระอังคุลิมาล
ภิกษุทั้งหลาย ถามพระอังคุลิมาลเถระว่า " ผู้มีอายุ ท่านเห็นช้าง
ดุร้ายยืนทรงฉัตร ไม่กลัวหรือหนอแล ? "
พระอังคุลิมาล. ผู้มีอายุทั้งหลาย กระผมไม่กลัว.
ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า " ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ พระอังคุลิมาล ย่อมพยากรณ์อรหัตผล. " พระศาสดาตรัสว่า
" ภิกษุทั้งหลาย อังคุลิมาลย่อมไม่กลัว. เพราะว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เช่นกับ
บุตรของเรา เสมอด้วยโคผู้ตัวประเสริฐ ในระหว่างแห่งโคผู้คือพระ-
ขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่กลัว ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาในพราหมณ-
วรรคว่า :-
" เรากล่าวบุคคลผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้ว-
กล้า ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้ชนะโดยวิเศษ ผู้ไม่
หวั่นไหว ผู้ล้างแล้ว ผู้ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็น
พราหมณ์. "
แม้พระราชา ถึงความโทมนัสว่า " พระศาสดาไม่ทรงทำอนุโมทนา
ให้สมควรแก่เราผู้ถวายทานแล้วยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัทเห็นปานนี้ ตรัส
เพียงพระคาถาเท่านั้นแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะไป, เราจักเป็นอันไม่ทำ
ทานให้สมควรแก่พระศาสดา ทำทานอันไม่สมควรเสียแล้ว. เราจักเป็น
อันไม่ถวายกัปปิยภัณฑ์ ถวายแต่อกัปปิยภัณฑ์ถ่ายเดียวเสียเเล้ว. เราพึง
เป็นผู้อันพระศาสดาทรงขุ่นเคืองเสียแล้ว, การทำอนุโมทนาอันสมควรแก่
ทาน ซึ่งผู้ใดผู้หนึ่งนั้นแล จึงควร " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปสู่วิหาร
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ทานที่ควรจะถวาย หม่อมฉันมิได้ถวายแล้วหรือหนอ หรือหม่อมฉัน
มิได้ถวายกัปปิยภัณฑ์อันสมควรแก่ทาน ถวายแต่อกัปปิยภัณฑ์เท่านั้น ? "
พระศาสดา. นี่อย่างไร ? มหาบพิตร.
พระราชา. พระองค์ไม่ทรงทำอนุโมทนา ที่สมควรแก่ทานของ
หม่อนฉัน.
พระศาสดา. มหาบพิตร พระองค์ถวายทานอันสมควรแล้วทีเดียว
ก็ทานนั่นชื่อว่าอสทิสทาน. ใครๆ อาจเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์
หนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น. ธรรมดาทานเห็นปานนี้ เป็นของยากที่บุคคลจะ
ถวายอีก.
พระราชา. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงทำ
อนุโมทนา ให้สมควรแก่ทานของหม่อมฉัน ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เพราะบริษัทไม่บริสุทธิ์ มหาบพิตร.
พระราชา. โทษอะไรหนอแล ของบริษัท ? พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงเนรเทศอำมาตย์ชั่ว
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสบอกวาระจิต ของอำมาตย์ทั้งสองคนแล้ว
ตรัสบอกความที่อนุโมทนา เป็นอันพระองค์อาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬ-
อำมาตย์ จึงไม่ทรงทำแล้วแก่ท้าวเธอ. พระราชาตรัสถามว่า " กาฬะ ได้
ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้จริงหรือ ? " เมื่อเขาทูลว่า "จริง" จึงตรัสว่า
" เมื่อเราพร้อมกับบุตรภรรยาของเรา มิได้ถือเอาของมีอยู่ของท่าน ให้
ของมีอยู่ของตน, เบียดเบียนอะไรท่าน ? สิ่งใดที่เราให้แก่ท่านแล้ว สิ่ง
นั้นจงเป็นอันให้เลยทีเดียว; แต่ท่านจงออกไปจากแว่นแคว้นของเรา "
ดังนี้แล้ว จึงทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น แล้วรับสั่ง
ให้เรียกชุณหอำมาตย์มา ตรัสถามว่า " ได้ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้ จริง
หรือ ? เมื่อเขาทูลว่า " จริง " จึงตรัสว่า " ดีละ ลุง, เราเลื่อมใส
(ขอบใจ). ท่านจงรับราชสมบัติของเราแล้ว ให้ทานสิ้น 7 วัน โดย
ทำนองที่เราให้แล้วนั่นแล " ทรงมอบราชสมบัติแก่เขาสิ้น 7 วันแล้ว
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทอด
พระเนตรการทำของคนพาล. เขาได้ให้ความลบหลู่ในทาน ที่หม่อมฉัน
ถวายแล้วอย่างนี้. "
คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้
พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น มหาบพิตร, ขึ้นชื่อว่าพวกคนพาล
ไม่ยินดีทานของผู้อื่น เป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้า. ส่วนพวกนัก
ปราชญ์อนุโมทนาทานแม้ของชนเหล่าอื่น จึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไป ณ
เบื้องหน้าโดยแท้ " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
10. น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ
พาลา หเว นปฺปสํสนฺติ ทานํ
ธีโร จ ทานํ อนุโมทมาโน
เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถ.
" พวกคนตระหนี่จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย, พวก
คนพาลแล ย่อมไม่สรรเสริญทาน, ส่วนนักปราชญ์
อนุโมทนาทานอยู่ เพราะเหตุนั้นนั่นเอง นักปราชญ์
นั้น จึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กทริยา คือผู้มีความตระหนี่เหนียว
แน่น. ผู้ไม่รู้จักประโยชน์โนโลกนี้และโลกหน้า ชื่อว่าพวกพาล บัณฑิต
ชื่อว่า ธีรชน, สองบทว่า สุขี ปรตฺถ ความว่า ธีรชนนั้น เมื่อเสวย
ทิพยสมบัติ ชื่อว่าเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า เพราะบุญอันสำเร็จแต่การ
อนุโมทนาทานนั้นนั่นเอง.
ในเวลาจบเทศนา ชุณหอำมาตย์ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. เทศนา
ได้มีประโยชน์แม้เเก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว. ชุณหอำมาตย์ ครั้นเป็น
พระโสดาบันแล้ว ได้ถวายทานโดยทำนองที่พระราชาถวายแล้วสิ้น 7 วัน
เหมือนกัน ดังนี้แล.
เรื่องอสทิสทาน จบ.
11. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี [147]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรของ
ท่านอนาถบิณฑิกะ ชื่อว่า กาละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปฐพฺยา
เอกรชฺเชน " เป็นต้น.
บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม
ได้ยินว่า นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐี ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธา
เช่นนั้น ก็ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย. ไม่ปรารถนาจะฟัง
ธรรม. ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์; แม้ถูกบิดาพูดว่า " เจ้า
อย่าทำอย่างนี้ พ่อ " ก็ไม่ฟังคำของท่าน.
ลำดับนั้น บิดาของเขาคิดว่า เจ้ากาละนี้ เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้
เที่ยวไป จักเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า; ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่ บุตร
ของเราพึงไปสู่นรก, ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย; ก็ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่ง
เล็งเพราะการให้ทรัพย์ ไม่มีในโลกนี้เลย, เราจักทำลายทิฏฐิของบุตรนั้น
ด้วยทรัพย์."
ลำดับนั้น เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า " พ่อ เจ้าจงเป็นผู้รักษา
อุโบสถ ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด เราจักให้กหาปณะ 100 แก่เจ้า."
กาละ. จักให้หรือ ? พ่อ.
เศรษฐี. จักให้ ลูก.
นายกาละนั้น รับปฏิญญา 3 ครั้งแล้ว เป็นผู้รักษาอุโบสถ ได้ไป
สู่วิหารแล้ว. แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี; เขานอนในที่ตามความ
สำราญแล้ว ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่. ลำดับนั้น บิดาของเขาพูดว่า " บุตร
ของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ, ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขา
เร็ว " ดังนี้แล้ว ก็สั่งคนใช้ให้ ๆ. นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย ด้วย
พูดว่า " เรายังมิได้รับกหาปณะจักไม่บริโภค. " ลำดับนั้น บิดาของเขา
เมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้ จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว. นายกาละนั้น ต่อ
รับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว จึงบริโภคอาหาร.
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งเขาไป ด้วยพูดว่า " พ่อ เราจักให้
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า. เจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอา
บทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา. เขาไปวิหาร ยืนตรงพระพักตร์
ของพระศาสดา ได้เป็นผู้ใคร่จะเรียนเอาบทแห่งธรรม บทเดียวเท่านั้น
แล้วหนีไป. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำอาการ คือการกำหนดไม่ได้
แก่เขา. เขากำหนดบทนั้นไม่ได้เเล้ว จึงได้ยืนฟังแล้วเทียว ด้วยคิดว่า
" เราจักเรียนบทต่อไป. " นัยว่าชนทั้งหลาย ต่อฟังอยู่ ด้วยคิดว่า " เรา
จักเรียนให้ได้ ชื่อว่าฟังโดยเคารพ.
ก็ธรรมดา เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้, ธรรมย่อมให้โสดา-
ปัตติมรรคเป็นต้น. ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า " จักเรียนให้ได้."
แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำลังยืนฟัง
อยู่เทียว ด้วยคิดว่า " จักเรียนต่อไป " จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
บรรลุโสดาปัตติผลแล้วรับค่าจ้าง
ในวันรุ่งขึ้น นายกาละนั้นไปสู่กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์