กล่าวว่า " ประโยชน์อะไรของท่านทั้งหลายด้วยที่ที่เราไป " พักอยู่
ในวัดของเดียรถีย์ในที่ใกล้พระเชตวัน เมื่อคนผู้เป็นอุบาสกออกจาก
พระนครแต่เช้าตรู่ ด้วยหวังว่า " จักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า "
(นาง) ทำทีเหมือนอยู่ในพระเชตวัน เข้าไปสู่พระนคร เมื่อคนผู้เป็นอุบาสก
ถามว่า " ท่านอยู่ ณ ที่ไหน ? " แล้วจึงกล่าวว่า " ประโยชน์อะไรของ
ท่านทั้งหลายด้วยที่ที่เราอยู่ " โดยกาลล่วงไป 1 - 2 เดือน เมื่อถูกถาม
จึงกล่าวว่า " เราอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ใน
พระเชตวัน " ยังความสงสัยให้เกิดขึ้นแก่ปุถุชนทั้งหลายว่า " ข้อนั้นจริง
หรือไม่หนอ ? " โดยกาลล่วงไป 3 - 4 เดือน เอาท่อนผ้าพันท้อง แสดง
เพศของหญิงมีครรภ์ ให้เหล่าชนอันธพาลถือเอาว่า " ครรภ์บังเกิดขึ้น
เพราะอาศัยพระสมณโคดม " โดยกาลล่วงไป 8 - 9 เดือน ผูกไม้กลมไว้
ที่ท้องห่มผ้าทับข้างบน ให้ทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโค แสดงอาการ
บวมขึ้น มีอินทรีย์บอบช้ำ เมื่อพระตถาคตประทับนั่งแสดงธรรมบน
ธรรมาสน์ที่ประดับแล้วในเวลาเย็น, ไปสู่ธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์
ของพระตถาคตแล้ว กล่าวว่า " มหาสมณะ พระองค์ (ดีแต่) แสดงธรรม
แก่มหาชนเท่านั้น. เสียงของพระองค์ไพเราะ. พระโอษฐ์ของพระองค์
สนิท; ส่วนหม่อมฉัน อาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว
พระองค์ไม่ทรงทราบเรือนเป็นที่คลอดของหม่อมฉัน, ไม่ทรงทราบเครื่อง
ครรภบริหารมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น, เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอก
พระเจ้าโกศล หรืออนาถบิณฑิกะ หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใด
คนหนึ่ง แม้บรรดาอุปัฏฐากทั้งหลายว่า ่ท่านจงทำกิจที่ควรทำแก่นาง-
จิญจมาณวิกานี้, พระองค์ทรงรู้แต่จะอภิรมย์เท่านั้น,ื ไม่ทรงรู้ครรภบริหาร "
เหมือนพยายามจับก้อนคูถ ปามณฑลพระจันทร์ฉะนั้น ด่าพระตถาคต
ในท่ามกลางบริษัทแล้ว.
พระตถาคต ทรงงดธรรมกถาแล้ว เมื่อจะทรงบันลือเยี่ยงอย่างสีหะ
จึงตรัสว่า " น้องหญิง ความที่คำอันเจ้ากล่าวแล้ว จะจริงหรือไม่ เรา
และเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้. "
นางจิญจมาณวิกา. อย่างนั้น มหาสมณะ ข้อนั้น เกิดแล้วโดยความ
ที่ท่านและหม่อมฉันทราบแล้ว .
เทพบุตรทำลายกลอุบายของนางจิญจมาณวิกา
ขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรง
ใคร่ครวญอยู่ ก็ทราบว่า " นางจิญจมาณวิกา ย่อมด่าพระตถาคตด้วยคำ
ไม่เป็นจริง " แล้วทรงดำริว่า " เราจักชำระเรื่องนี้ให้หมดจด " จึงเสด็จ
มากับเทพบุตร 4 องค์. เทพบุตรทั้งหลายแปลงเป็นลูกหนูกัดเชือกที่ผูก
ท่อนไม้กลม ด้วยอันแทะทีเดียวเท่านั้น. ลมพัดเวิกผ้าห่มขึ้น. ไม้กลม
พลัดตกลงบนหลังเท้าของนางจิญจมาณวิกานั้น. ปลายเท้าทั้ง 2 ข้างแตก
แล้ว. มนุษย์ทั้งหลายพูดว่า " แน่ะนางกาลกรรณี เจ้าด่าพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า " ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ มีมือถือก้อนดินและท่อนไม้ ฉุดลาก
ออกจากพระเชตวัน.
นางจิญจมาณวิกาถูกแผ่นดินสูบ
ครั้นในเวลานางล่วงคลองพระเนตรของพระตถาคตไป แผ่นดิน
ใหญ่แตกแยกช่องให้แล้ว. เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจี. นางจิญจมาณวิกานั้น
ไปเกิดในอเวจี เป็นเหมือนห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้. ลาภสักการะของ
พวกเดียรถีย์เสื่อมแล้ว (แต่กลับ) เจริญแก่พระทศพลโดยประมาณยิ่ง.
ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า " ผู้มีอายุทั้งหลาย
นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ควรทักษิณาอันเลิศ ผู้มีคุณ
อันยิ่งอย่างนี้ ด้วยคำไม่จริง จึงถึงความพินาศใหญ่แล้ว." พระศาสดา
เสด็จมา ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วย
ถ้อยคำอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า " ด้วยถ้อยคำชื่อนี้. "
แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เท่านั้นหามิได้. ถึงในกาลก่อน
นางจิญจมาณวิกานั้น ก็ด่าเราด้วยคำไม่จริง ถึงความพินาศแล้วเหมือนกัน "
ดังนี้แล้ว จึงตรัสมหาปทุมชาดก*ในทวาทสกนิบาตนี้ให้พิสดารว่า :-
" ผู้เป็นใหญ่ไม่เห็นโทษน้อยใหญ่ ของผู้อื่นโดย
ประการทั้งปวงแล้ว ไม่ทันพิจารณาเห็นเอง ไม่พึง
ลงอาญา."
พระโพธิสัตว์ถูกทิ้งลงเหวแต่ไม่ตาย
(พระองค์ตรัสว่า) " ได้ยินว่า ในกาลนั้น นางจิญจมาณวิกานั้น
เป็นผู้ร่วมสามีของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงนามว่ามหาปทุมกุมาร
เป็นอัครมเหสีของพระราชา เชิญชวนพระมหาสัตว์ด้วยอสัทธรรม ไม่ได้
ความยินยอมของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ทำประการแปลกในตนด้วยตนเอง
แสดงอาการลวงว่าเป็นไข้ จึงกราบทูลแด่พระราชาว่า " พระราชโอรสของ
พระองค์ ยังหม่อมฉันผู้ไม่ปรารถนาอยู่ ให้ถึงประการแปลกนี้. " พระราชา
กริ้ว ทิ้งพระมหาสัตว์ไปในเหวเป็นที่ทิ้งโจร.
1. ขุ. ชา. ทวาทสก. 27/338. อรรถกถา. 6/130.
ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ท้องแห่งภูเขา (หุบเขา) รับพระมหาสัตว์
นั้นแล้ว ให้ประดิษฐานอยู่ในห้องพังพานของพระยานาค. พระยานาค
นำพระมหาสัตว์นั้นไปสู่ภพนาค ทรงรับรองด้วยราชสมบัติกึ่งหนึ่ง.
พระมหาสัตว์นั้นอยู่ในภพนาคนั้นสิ้นปีหนึ่ง ใคร่จะบวช จึงมาสู่หิมวันต-
ประเทศ บวชแล้ว ให้ฌานและอภิญญาบังเกิดแล้ว.
พระโพธิสัตว์ถวายพระโอวาทแก่พระราชา
ต่อมา พรานไพรผู้หนึ่งเห็นพระมหาสัตว์นั้น จึงกราบทูลแด่
พระราชา. พระราชาเสด็จไปสู่สำนักของพระมหาสัตว์นั้นแล้ว มีปฏิสันถาร
อันพระมหาสัตว์ทำแล้ว ทรงทราบประพฤติเหตุนั้นทั้งหมด ทรงเชื้อเชิญ
พระมหาสัตว์ด้วยราชสมบัติ อันพระมหาสัตว์นั้นถวายโอวาทว่า " กิจด้วย
ราชสมบัติของหม่อมฉันไม่มี, ก็พระองค์จงอย่าให้ราชธรรม 10 ประการ
กำเริบ ทรงละการถึงอคติเสียแล้ว เสวยราชสมบัติโดยธรรมเถิด " ดังนี้
แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกันแสง เสด็จไปสู่พระนคร จึงตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งหลายในระหว่างหนทางว่า " เราถึงความพลัดพรากจากบุตร
ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอาจาระอย่างนั้นเพราะอาศัยใคร ? "
อำมาตย์. เพราะอาศัยพระอัครมเหสี พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้จับพระอัครมเหสีนั้น ให้มีเท้าขึ้นแล้ว ทิ้งไป
ในเหวที่ทิ้งโจร เสด็จเข้าไปสู่พระนคร เสวยราชสมบัติโดยธรรม
มหาปทุมกุมารในกาลนั้น ได้เป็นพระมหาสัตว์. หญิงร่วมสามีของ
พระมารดา ได้เป็นนางจิญจมาณวิกา.
พระศาสดาครั้นทรงประกาศเนื้อความนี้แล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ก็ขึ้นชื่อว่าบาปกรรม อันบุคคลผู้ละคำสัตย์ ซึ่งเป็นธรรมอย่าง
เอกแล้ว ตั้งอยู่ในมุสาวาท ผู้มีปรโลกอันสละแล้ว ไม่พึงทำย่อมไม่มี
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
9. เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺส มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน
วิติณฺณปรโลกสฺส นตฺถิ ปาปํ อการิยํ.
" บาปอันชนผู้ก้าวล่วงธรรมอย่างเอกเสีย ผู้มัก
พูดเท็จ ผู้มีปรโลกอันล่วงเลยเสียแล้ว ไม่พึงทำ
ย่อมไม่มี. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกํ ธมฺมํ คือ ซึ่งคำสัตย์. บทว่า มุสา-
วาทิสฺส ความว่า บรรดาคำพูด 10 คำ คำสัตย์แม้สักคำหนึ่งย่อมไม่มีแก่
ผู้ใด อันผู้เห็นปานนี้ ชื่อว่าผู้มักพูดเท็จ. บาทพระคาถาว่า วิติณฺณปรโล-
กสฺส ได้แก่ ผู้มีปรโลกอันปล่อยเสียแล้ว. ก็บุคคลเห็นปานนี้ ย่อมไม่
พบสมบัติ 3 อย่างเหล่านั้น คือ มนุษยสมบัติ เทพสมบัติ นิพพานสมบัติ
ในอวสาน. สองบทว่า นตฺถิ ปาปํ ความว่า ความสงสัยว่า บาปชื่อนี้
อันบุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น ไม่พึงทำดังนี้ย่อมไม่มี.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องนางจิญจมาณวิกา จบ.
10. เรื่องอสทิสทาน [146]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอสทิสทาน
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ " เป็นต้น.
พระราชาถวายทานแข่งกับราษฎร
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจาริกไปแล้ว มีภิกษุ
ประมาณ 500 เป็นบริวาร เสด็จเข้าไปในพระเชตวัน. พระราชาเสด็จ
ไปวิหาร ทูลนิมนต์พระศาสดา ในวันรุ่งขึ้น ทรงตระเตรียมอาคันตุกทาน
แล้ว จึงตรัสเรียกชาวพระนครว่า " จงดูทานของเรา. " ชาวพระนคร
มาเห็นทานของพระราชาแล้ว ในวันรุ่งขึ้น ทูลนิมนต์พระศาสดา ตระ-
เตรียมทานแล้ว ส่ง (ข่าวไปกราบทูล) แด่พระราชาว่า " ขอพระองค์
ผู้เป็นสมมติเทพ จงทอดพระเนตรทานของพวกข้าพระองค์. " พระราชา
เสด็จไปทอดพระเนตรทานของชาวพระนครเหล่านั้นแล้ว ทรงดำริว่า
" ทานอันยิ่งกว่าทานของเราอันชนเหล่านี้ทำแล้ว. เราจักทำทานอีก "
จึงรับสั่งให้ตระเตรียมทานแล้ว แม้ในวันรุ่งขึ้น. แม้ชาวพระนครเห็นทาน
นั้นแล้ว ในวันรุ่งขึ้น จึงตระเตรียม (ทาน) แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
ด้วยอาการอย่างนี้ พระราชาไม่ทรงอาจเพื่อให้ชาวพระนครแพ้ได้เลย
ชาวพระนครก็ไม่อาจเพื่อให้พระราชาแพ้ได้. ต่อมาในวาระที่ 6 ชาว
พระนครเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันเท่า ตระเตรียมทาน โดยประการที่ใคร ๆ
ไม่อาจจะพูดได้ว่า " วัตถุชื่อนี้ ไม่มีในทานของชาวพระนครเหล่านี้. "
พระราชาทอดพระเนตรทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่า " ถ้าเราจักไม่อาจเพื่อ
ทำทานให้ยิ่งกว่าทานของชาวพระนครเหล่านั้นไซร้. ประโยชน์อะไร
ของเราด้วยชีวิตเล่า " ดังนี้แล้ว ได้บรรทมดำริถึงอุบายอยู่.
พระนางมัลลิกาทรงจัดทาน
ลำดับนั้น พระนางมัลลิกาเทวีเข้าไปเฝ้าท้าวเธอแล้ว ทูลถามว่า
" ข้าแต่มหาราชเจ้า. เพราะเหตุไร พระองค์จึงเป็นผู้บรรทมอย่างนี้ ? "
พระราชาตรัสว่า " เทวี บัดนี้ เธอยังไม่ทราบหรือ ? "
พระเทวี. หม่อมฉันยังไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
ท้าวเธอตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่พระนางแล้ว.
ลำดับนั้น พระนางมัลลิกากราบทูลท้าวเธอว่า " ข้าแต่สมมติเทพ
พระองค์อย่าทรงดำริเลย. พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน อันชาวพระนคร
ทั้งหลายให้พ่ายแพ้อยู่ พระองค์เคยทอดพระเนตรหรือ หรือเคยสดับแล้ว
ที่ไหน ? หม่อมฉันจักจัดแจงทานแทนพระองค์."
พระนางกราบทูลแด่ท้าวเธออย่างนี้ เพราะความที่พระนางเป็น
ผู้ใคร่จะจัดแจงอสทิสทาน แล้วกราบทูลว่า " ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอ
พระองค์จงรับสั่งให้เขาทำมณฑปสำหรับนั่งภายในวงเวียน เพื่อภิกษุ
ประมาณ 500 รูป ด้วยไม้เรียบที่ทำด้วยไม้สาละและไม้ขานาง พวกภิกษุ
ที่เหลือจักนั่งภายนอกวงเวียน; ขอจงรับสั่งให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน.
ช้างประมาณ 500 เชือก จักถือเศวตฉัตรเหล่านั้น ยืนกั้นอยู่เบื้องบน
แห่งภิกษุประมาณ 500 รูป. ขอจงรับสั่งให้ทำเรือสำเร็จด้วยทองคำอันมี
สีสุก สัก 8 ลำ หรือ 10 ลำ, เรือเหล่านั้นจักมี ณ ท่ามกลางมณฑป.
เจ้าหญิงองค์หนึ่ง ๆ จักนั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ 2 รูป ๆ, เจ้า
หญิงองค์หนึ่ง ๆ จักถือพัดยืนพัดภิกษุ 2 รูป ๆ, เจ้าหญิงที่เหลือ จักนำ