เมนู

6. เรื่องพระเทวทัต [132]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ " เป็นต้น.

สนทนาเรื่องลามกของพระเทวทัต


ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พวกภิกษุ สนทนากันในโรงธรรมว่า
" ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก เกลี้ยกล่อม
พระเจ้าอชาตศัตรู ยังลาภสักการะเป็นอันมากให้เกิดขึ้น ชักชวนพระเจ้า
อชาตศัตรู ในการฆ่าพระราชบิดา เป็นผู้ร่วมคิดกับพระเจ้าอชาตศัตรูนั้น
ตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระตถาคตเจ้าด้วยประการต่าง ๆ เพราะตัณหา
อันเจริญขึ้นแล้ว ด้วยเหตุคือความเป็นผู้ทุศีลนั่นเอง. "
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่ง
สนทนากันด้วยกถาอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วย
กถาชื่อนี้, " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น. ถึงใน
กาลก่อน เทวทัตก็ตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเราด้วยประการต่าง ๆ เหมือน
กัน " ดังนี้แล้ว จึงตรัสชาดกทั้งหลาย มีกุรุงคชาดกเป็นต้น แล้วตรัส
ว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาอันเกิดขึ้นเพราะเหตุคือเป็นผู้ทุศีลหุ้มห่อ
รวบรัดซัดซึ่งบุคคลผู้ทุศีลล่วงส่วน ไปในอบายทั้งหลายมีนรกเป็นต้น
เหมือนเถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละจนหักรานลงฉะนั้น " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า :-

6. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺย. มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส.
" ความเป็นผู้ทุศีลล่วงส่วน รวบรัด (อัตภาพ)
ของบุคคลใด ดุจเถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละ ฉะนั้น,
บุคคลนั้น ย่อมทำตนอย่างเดียวกันกับที่โจรหัวโจก
ปรารถนาทำให้ตนฉะนั้น. "

แก้อรรถ


ความเป็นผู้ทุศีลโดยส่วนเดียว ชื่อว่า อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ ในพระคาถา
นั้น. บุคคลผู้เป็นคฤหัสถ์ ทำอกุศลกรรมบถ 10 ตั้งแต่เกิดก็ดี. ผู้เป็น
บรรพชิต ต้องครุกาบัติ1 ตั้งแต่วันอุปสมบทก็ดี ชื่อว่า ผู้ทุศีลล่วงส่วน.
แต่บทว่า อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในพระคาถา
นี้ ทรงหมายเอาความเป็นผู้ทุศีลอันมาแล้วตามคติของบุคคลผู้ทุศีลใน
2 - 3 อัตภาพ.
อนึ่ง ตัณหาอันอาศัยทวาร 6 ของผู้ทุศีลเกิดขึ้น บัณฑิตพึงทราบว่า
" ความเป็นผู้ทุศีล " ในพระคาถานี้.
บาทพระคาถาว่า มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ ความว่า ความเป็นผู้ทุศีล
กล่าวคือตัณหา รวบรัด คือหุ้มห่ออัตภาพของบุคคลใดตั้งอยู่. เหมือน
เถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละ. คือปกคลุมทั่วทั้งหมดทีเดียว ด้วยสามารถรับ
น้ำด้วยใบในเมื่อฝนตก แล้วหักรานลงฉะนั้นแล. บุคคลนั้นคือผู้ถูกตัณหา
กล่าวคือความเป็นผู้ทุศีลนั้นหักราน ให้ตกไปในอบายทั้งหลาย เหมือน
1. แปลว่า อาบัติหนัก ได้แก่ ปราชิก และสังฆาทิเสส.

ต้นไม้ถูกเถาย่านทรายหักราน ให้โค่นลงเหนือแผ่นดินฉะนั้น. ชื่อว่า
ย่อมทำตนอย่างเดียวกันกับที่โจรหัวโจกผู้ใคร่ความพินาศปรารถนาทำให้
ฉะนั้น.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเทวทัต จบ.

7. เรื่องกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ [133]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวันทรงปรารภการกระเสือก
กระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุกรานิ " เป็นต้น.

พระเทวทัตพยายามทำลายสงฆ์


ความพิสดารว่า พระเทวทัตกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ วัน
หนึ่ง เห็นท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ บอกความประสงค์ของ
ตนแล้ว. พระเถระฟังข่าวนั้นแล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " พระเจ้าข้า เวลาเช้า ข้าพระองค์ครองสบงที่
เวฬุวันนี้แล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต. พระเจ้าข้า
พระเทวทัตได้เห็นข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์แล้วแลตาม
เข้าไปหาข้าพระองค์ ได้กล่าวคำนี้ว่า 'อาวุโส อานนท์ จำเดิมแต่วันนี้
ฉันจักทำอุโบสถและสังฆกรรมแยกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า แยกจากภิกษุ
สงฆ์; ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า วันนี้ พระเทวทัตจักทำลายสงฆ์. คือ
จักทำอุโบสถและสังฆกรรม. "

ความดีคนทำง่าย


เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาทรงเปล่ง
พระอุทานว่า:-
" ความดีคนดีทำง่าย, ความดีคนชั่วทำยาก, ความ
คนชั่วทำง่าย, ความชั่วอริยบุคคลทำได้ยาก "

แล้วตรัสว่า " อานนท์ ขึ้นชื่อว่ากรรมอัน ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน
ทำได้ง่าย. กรรมอันเป็นประโยชน์แก่ตนทำยากนักหนา " แล้วตรัสพระ-
คาถานี้ว่า:-
7. สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ.
" กรรมอันไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน คน
ทำง่าย; กรรมใดแลเป็นประโยชน์แก่ตนและดี,
กรรมนั้นแลทำยากอย่างยิ่ง."

แก้อรรถ


ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
" กรรมเหล่าใดไม่ดี คือมีโทษและเป็นไปเพื่ออบาย ชื่อว่าไม่เป็น
ประโยชน์แก่คนเพราะทำนั่นแล กรรมเหล่านั้นทำง่าย. ฝ่ายกรรมใดชื่อ
ว่าเป็นประโยชน์แก่ตนเพราะทำ และชื่อว่าดี ด้วยอรรถว่าหาโทษมิได้คือ
เป็นไปเพื่อสุคติ และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน. กรรมนั้นทำแสนยาก
ราวกับทดน้ำแม่คงคาอันไหลไปทิศตะวันออก ทำให้ไหลกลับฉะนั้น. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุโลกุตรผล มีโสดาปัตติ-
ผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ จบ.

8. เรื่องพระกาลเถระ [134]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระกาลเถระ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย สาสนํ " เป็นต้น.

พระเถระไม่ให้อุปัฏฐายิกาไปฟังธรรม


ดังได้ยินมา หญิงคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ตั้งอยู่ในที่แห่งมารดา
ทำนุบำรุงพระเถระนั้นอยู่. พวกคนในเรือนแห่งผู้คุ้นเคยของหญิงนั้น
ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว กลับมาเรือนแล้ว สรรเสริญอยู่ว่า
" โอ ชื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัศจรรย์. โอ พระธรรมเทศนาก็
ไพเราะ. " หญิงนั้น ฟังถ้อยคำของคนพวกนั้นแล้ว จึงบอกแก่พระกาละ
ว่า " ท่านเจ้าข้า ดิฉันอยากจะฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาบ้าง. " เธอ
ห้ามเขาว่า " อย่าไปที่นั่นเลย." หญิงนั้นในวันรุ่งขึ้นก็ขออีก แม้อัน
พระกาละนั้นห้ามอยู่ถึง 3 ครั้งก็ยังอยากจะฟังอยู่นั้นแล. มีคำถามสอดเข้า
มาว่า " ก็เหตุไฉน ? เธอจึงได้ห้ามเขาเสีย." แก้ว่า " ได้ยินว่า เธอ
ได้มีความเห็นเช่นนี้ว่า " อุบาสิกานี้ ได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว
จักแตกจากเรา " เหตุนั้น เธอจึงได้ห้ามเขาเสีย.
วันหนึ่ง หญิงนั้นบริโภคอาหารเสร็จสมาทานอุโบสถแล้ว สั่งบุตรี
ไว้ว่า " แม่ จงอังคาสพระผู้เป็นเจ้าให้ดี " แล้วได้ไปวิหารแต่เช้าเทียว.
ฝ่ายบุตรีของเขาก็อังคาสพระกาละโดยเรียบร้อย ในกาลเธอมาถึง เธอ
ถามว่า " อุบาสิกาผู้ใหญ่ไปไหน ? " (นาง) ตอบว่า " ไปวิหารเพื่อฟัง
ธรรม. " เธอพอได้ฟังข่าวนั้น ทุรนทุรายอยู่เพราะความกลัดกลุ้มอันตั้ง
ขึ้นในท้อง (ควรจะเป็น อนฺโต ในภายใน) นึกว่า " เดี๋ยวนี้ อุบาสิกา

นั้นแตกจากเราแล้ว " รีบไป เห็นหญิงนั้นฟังธรรมอยู่ในสำนักพระศาสดา
จึงทูลพระศาสดาว่า " พระเจ้าข้า หญิงคนนี้เขลา ไม่เข้าใจธรรมกถาอัน
ละเอียด. อย่าตรัสธรรมกถาอันละเอียดซึ่งประดับด้วยสภาวธรรมมีขันธ์
เป็นต้น ตรัสแต่เพียงทานกถาหรือสีลกถาแก่เขาก็พอ."

สักการะย่อมฆ่าคนถ่อย


พระศาสดา ทรงทราบอัธยาสัยของเธอแล้ว ตรัสว่า " เธอเป็น
คนปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า ห้ามปรามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า.
เธอพยายามเพื่อฆ่าตนเอง " แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. โย สาสนํ อรหตํ อริยานํ ธมฺมชีวินํ
ปฏิกฺโกสิ ทุมฺเมโธ ทิฏฺฐึ นิสฺสาย ปาปิกํ
ผลานิ กณฺฏกสฺเสว อตฺตฆญฺญาย ผลฺลติ.
" บุคคลใดปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า คัด
ค้านคำสั่งสอนของพระอริยบุคคล ผู้อรหันต์ มีปกติ
เป็นอยู่โดยธรรม, บุคคลนั้นย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตน
เหมือนขุยแห่งไม้ไผ่. "

แก้อรรถ


ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
บุคคลใดปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า ห้ามปรามพวกคนผู้
กล่าวอยู่ว่า ' จักฟังธรรมก็ดี.' ว่า ' จักถวายทานก็ดี.' เพราะกลัวแต่
เสื่อมสักการะของตน ชื่อว่าโต้แย้งคำสั่งสอนของพระอริยบุคคลผู้อรหันต์
มีปกติเป็นอยู่โดยธรรม คือพระพุทธเจ้า. การโต้แย้งและทิฏฐิอันเลวทราม
นั้นของบุคคลนั้น ย่อมเป็นเหมือนขุยของไม้มีหนาม กล่าวคือไม้ไผ่,