พระศาสดาแม้ทรงทราบกรรมที่เธอทำแล้ว ก็ทรงกำหนดว่า " พวก
มิจฉาทิฏฐิประชุมกัน เพื่อข่มขี่ (เรา) ด้วยมุสาวาท จักไม่ได้โอกาส.
พวกสัมมาทิฏฐิ ประชุมกัน ด้วยหมายว่า ่พวกเราจักดูการเยื้องกราย
ของพระพุทธเจ้า และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์ ' ฟังกรรม
ที่สันตติมหาอำมาตย์นี้ทำแล้ว จักทำความเอื้อเฟื้อในบุญทั้งหลาย " ดังนี้
แล้ว จึงตรัสว่า " ถ้ากระนั้น เธอจงบอกกรรมที่เธอทำแล้วแก่เรา,
ก็เมื่อจะบอก จงอย่ายืนบนภาคพื้นบอก จงยืนบนอากาศชั่ว 7 ลำตาล
แล้วจึงบอก. "
แสดงอิทธิปาฏิหารย์ในอากาศ
สันตติมหาอำมาตย์นั้น ทูลรับว่า " ดีละ พระเจ้าข้า " ดังนี้แล้ว
จึงถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลำตาลหนึ่ง ลงมาถวาย
บังคมพระศาสดาอีก ขึ้นไปนั่งโดยบัลลังก์บนอากาศ 7 ชั่ว ลำตาลตาม
ลำดับแล้ว ทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงสดับ บุรพกรรม
ของข้าพระองค์ " (ดังต่อไปนี้ ):-
บุรพกรรมของสันตติมหาอำมาตย์
ในกัลป์ที่ 91 เเต่กัลป์นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี
ข้าพระองค์บังเกิดในตระกูล ๆ หนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดแล้วว่า 'อะไร
หนอแล ? เป็นกรรมที่ไม่ทำการตัดรอนหรือบีบคั้น ซึ่งชนเหล่าอื่น '
ดังนี้แล้ว เมื่อใคร่ครวญอยู่ จึงเห็นกรรมคือการป่าวร้องในบุญทั้ง-
หลาย จำเดิมแต่กาลนั้น ทำกรรมนั้นอยู่ ชักชวนมหาชนเที่ยวป่าวร้อง
อยู่ว่า 'พวกท่าน จงทำบุญทั้งหลาย, จงสมาทานอุโบสถ ในวันอุโบสถ
ทั้งหลาย. จงถวายทาน, จงฟังธรรม, ชื่อว่า รัตนะอย่างอื่นเช่นกับ
พุทธรัตนะเป็นต้นไม่มี. พวกท่านจงทำสักการะรัตนะทั้ง 3 เถิด. "
ผลของการชักชวนมหาชนบำเพ็ญการกุศล
พระราชาผู้ใหญ่ทรงพระนามว่าพันธุมะ เป็นพระพุทธบิดา ทรง
สดับเสียงของข้าพระองค์นั้น รับสั่งให้เรียกข้าพระองค์มาเฝ้าแล้ว ตรัสถาม
ว่า ' พ่อ เจ้าเที่ยวทำอะไร ? ' เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า ' ข้าแต่สมมติเทพ
ข้าพระองค์เที่ยวประกาศคุณรัตนะทั้ง 3 ชักชวนมหาชนในการบุญทั้ง-
หลาย.' จึงตรัสถามว่า ' เจ้านั่งบนอะไรเที่ยวไป ? ' เมื่อข้าพระองค์
ทูลว่า ' ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์เดินไป ' จึงตรัสว่า ' พ่อ เจ้าไม่
ควรเพื่อเที่ยวไปอย่างนั้น, จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้ว นั่งบนหลังม้า
เที่ยวไปเถิด ' ดังนี้แล้ว ก็พระราชทานพวงดอกไม้ เช่นกับพวงแก้วมุกดา
ทั้งได้พระราชทานม้าที่ฝึกแล้วแก่ข้าพระองค์.
ต่อมา พระราชารับสั่งให้ข้าพระองค์ ผู้กำลังเที่ยวประกาศอยู่อย่าง
นั้นนั่นแล ด้วยเครื่องบริหารที่พระราชาพระราชทาน มาเฝ้า แล้วตรัสถาม
อีกว่า 'พ่อ เจ้าเที่ยวทำอะไร ? ' เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า ' ข้าแต่สมมติเทพ
ข้าพระองค์ทำกรรมอย่างนั้นนั่นแล จึงตรัสว่า ' พ่อ แม้ม้าก็ไม่สมควร
แก่เจ้า. เจ้าจงนั่งบนรถนี้เที่ยวไปเถิด ' แล้วได้พระราชทานรถที่เทียม
ด้วยม้าสินธพ 4. แม้ในครั้งที่ 3 พระราชาทรงสดับเสียงของข้าพระองค์
แล้ว รับสั่งให้หา ตรัสถามว่า ่ พ่อ เจ้าเที่ยวทำอะไร ' เมื่อข้าพระองค์
ทูลว่า ' ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทำกรรมนั้นแล ' จึงตรัสว่า ' แน่ะพ่อ
แม้รถก็ไม่สมควรแก่เจ้า ' แล้วพระราชทานโภคะเป็นอันมาก และเครื่อง
ประดับใหญ่ ทั้งได้พระราชทานช้างเชือกหนึ่งแก่ข้าพระองค์. ข้าพระองค์
นั้น ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง นั่งบนคอช้าง ได้ทำกรรมของผู้
ป่าวร้องธรรมสิ้นแปดหมื่นปี กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกายของข้าพระองค์
นั้น กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้; นี้เป็นกรรมที่
ข้าพระองค์ทำแล้ว. "
การปรินิพพานของสันตติมหาอำมาตย์
สันตติมหาอำมาตย์นั้น ครั้นทูลบุรพกรรมของตนอย่างนั้นแล้ว
นั่งบนอากาศเทียว เข้าเตโชธาตุ ปรินิพพานแล้ว. เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระ
ไหม้เนื้อและโลหิตแล้ว. ธาตุทั้งหลายดุจดอกมะลิเหลืออยู่แล้ว.
พระศาสดา ทรงคลี่ผ้าขาว. ธาตุทั้งหลายก็ตกลงบนผ้าขาวนั้น.
พระศาสดา ทรงบรรจุธาตุเหล่านั้นแล้ว รับสั่งให้สร้างสถูปไว้ที่ทางใหญ่
4 เเพร่ง ด้วยทรงประสงค์ว่า " มหาชนไหว้แล้ว จักเป็นผู้มีส่วน
แห่งบุญ. "
สันตติมหาอำมาตย์ควรเรียกว่าสมณะหรือพราหมณ์
พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ สันตติมหาอำมาตย์
บรรลุพระอรหัตในเวลาจบพระคาถา ๆ เดียว ยังประดับประดาอยู่นั่น
แหละ นั่งบนอากาศปรินิพพานแล้ว. การเรียกเธอว่า ' สมณะ' ควร
หรือหนอแล ? หรือเรียกเธอว่า ' พราหมณ์ ' จึงจะควร. "
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า ' พวก
ข้าพระองค์ นั่งประชุมกันด้วยกถาชื่อนี้ " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย
กาเรียกบุตรของเราแม้ว่า ' สมณะ ' ก็ควร. เรียกว่า ' พราหมณ์ '
ก็ควรเหมือนกัน " ดังนี้ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส
พระคาถานี้ว่า
9. อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย1
สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
สพฺเพสุ ภุเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ.
" แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำเสมอ
เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประพฤติ
ประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก,
บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกโต ได้แก่ ประดับด้วยผ้าและ
อาภรณ์. บัณฑิตพึงทราบความแห่งพระคาถานั้นว่า " แม้หากว่าบุคคล
ประดับด้วยเครื่องอลังการมีผ้าเป็นต้น พึงประพฤติสม่ำเสมอ ด้วยกาย
เป็นต้น. ชื่อว่าเป็นผู้สงบ เพราะความสงบระงับแห่งราคะเป็นต้น, ชื่อว่า
เป็นผู้ฝึก เพราะฝึกอินทรีย์, ชื่อว่าเป็นผู้เที่ยง เพราะเที่ยงในมรรคทั้ง 4.
ชื่อว่าพรหมจารี เพราะประพฤติประเสริฐ, ชื่อว่าวางอาชญาในสัตว์ทุก
จำพวก เพราะความเป็นผู้วางเสียซึ่งอาชญาทางกายเป็นต้นแล้ว. ผู้นั้น
คือผู้เห็นปานนั้น อันบุคคลควรเรียกว่า ' พราหมณ์ ' เพราะความเป็นผู้
มีบาปอันลอยแล้ว ก็ได้, ว่า ' สมณะ ' เพราะความเป็นผู้มีบาปอันสงบ
1. อรรถกถาเป็น สมญฺจเรยฺยย.
แล้ว ก็ได้, ว่า ' ภิกษุ ' เพราะความเป็นผู้มีกิเลสอันทำลายแล้ว ก็ได้
โดยแท้. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องสันตติมหาอำมาตย์ จบ
10. เรื่องพระปิโลติกเถระ [116]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระปิโลติก-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "หิรินิเสโ ปุริโธ ปุริโส" เป็นต้น.
พระอานนท์จัดการให้ปิโลติกะบวช
ความพิศดารว่า ในวันหนึ่ง พระอานนทเถระเห็นทารกคนหนึ่ง
นุ่งผ้าท่อนเก่า ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานอยู่ จึงพูดว่า " เจ้าบวชเสียจะ
ไม่ดียิ่งกว่าการเที่ยวไปอย่างนี้เป็นอยู่หรือ ? " เมื่อเขาตอบว่า "ใครจัก
ให้ผมบวชเล่า ? ขอรับ " จึงกล่าวรับรองว่า "ฉันจะให้บวช " แล้ว
พาเขาไปยังวิหารให้อาบน้ำด้วยมือของตน ให้กรรมฐานแล้วก็ให้บวช.
ก็พระอานนทเถระนั้น คลี่ท่อนผ้าเก่าที่ทารกนั้นนุ่งแล้ว ตรวจดู
ไม่เห็นส่วนอะไร ๆ พอใช้สอยได้ แม้สักว่าทำเป็นผ้าสำหรับกรองน้ำ
จึงเอาพาดไว้ที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่งกับกระเบื้อง.
พระปิโลติกะอยากสึก
เขาได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว บริโภคลาภและสักการะอันเกิดขึ้นเพื่อ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย นุ่งห่มจีวรที่มีค่ามากเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้มีสรีระอ้วน
การะสันขึ้นแล้ว คิดว่า "ประโยชน์อะไรของเราด้วยการนุ่ง (ห่ม) จีวร
อันชนให้ด้วยศรัทธาเที่ยวไป, เราจะนุ่งผ้าเก่าของตัวนี่แหละ " ดังนี้
แล้ว ก็ไปสู่ที่นั้นแล้ว จังผ้าเก่าทำผ้านั้นให้เป็นอารมณ์ แล้วจึงโอวาท
ตนด้วยตนเองว่า " เจ้าผู้ไม่มีหิริ หมดยางอาย เจ้ายังปรารถนาเพื่อจะละ
ฐานะคือการนุ่งห่มผ้าทั้งหลายเห็นปานนั้น (กลับไป ) นุ่งผ้าท่อนเก่านี้ มี
มือถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน ( อีกหรือ)".
ก็เมื่อท่านโอวาท1 (ตน ) อยู่นั้น แหละจิตผ่องใสแล้ว. ท่านเก็บผ้า
เก่าผืนนั้นไว้ที่เดิมนั้นแล้ว กลับไปยังวิหารตามเดิม. โดยกาลล่วงไป
2-3 วัน ท่านกระสันขึ้นอีก ไปกล่าวอย่างนั้นแหละ แล้วก็กลับ. ถึง
กระสันขึ้นอีก ก็ไปกล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วด้วยประการฉะนี้.
พระปิโลติกเถระบรรลุพระอรหัต
ภิกษุทั้งหลาย เห็นท่านเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนั้น จึงถามว่า
" ผู้มีอายุ ท่านจะไปไหน ? "
ท่านบอกว่า " ผู้มีอายุ ผมจะไปสำนักอาจารย์ " ดังนี้แล้ว ก็ทำ
ผ้าท่อนเก่าของคนนั้น แหละให้เป็นอารมณ์ โดยทำนองนั้นนั่นเองห้ามตน
ได้ โดย 2-3 วัน เท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตผล.
ภิกษุทั้งหลาย กล่าว " ผู้มีอายุ บัดนี้ ท่านไม่ไปสำนักอาจารย์
หรือ ? ทางนี้เป็นทางเที่ยวไปของท่านมิใช่หรือ ? "
คนหมดเครื่องข้องไม่ต้องไป ๆ มา ๆ
ท่านตอบว่า " ผู้มีอายุ เมื่อความเกี่ยวข้องกับอาจารย์มีอยู่ผมจึงไป
แต่บัดนี้ ผมตัดความเกี่ยวข้องได้แล้ว, เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ไปสำนัก
อาจารย์. "
พวกภิกษุกราบทูลเรื่องราวแด่พระตถาคตว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระปิโลติกเถระอวดอ้างพระอรหัตผล.
1. อีกนัยหนึ่ง แปลว่า " ก็จิตของท่านผู้โอวาท (ตน) อยู่นั่นแล ผ่องใสแล้ว"ก็ได้.
พระศาสดา. เธอกล่าวอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย.
พวกภิกษุ. เธอกล่าวคำชื่อนี้ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า " ถูกละ ภิกษุทั้งหลาย, บุตร
ของเรา เมื่อความเกี่ยวข้องมีอยู่ จึงไปสำนักอาจารย์. แต่บัดนี้ ความ
เกี่ยวข้องเธอตัดได้แล้ว. เธอห้ามตนด้วยตนเอง บรรลุพระอรหัตแล้ว. "
ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
10. หิรินิเสโธ ปุริโส โกจิ โลกสฺมิ วิชฺชติ
โย นิทฺทํ อปโพเธติ อสฺโส ภโทฺร กสามิว
อสฺโส ยถา ภโทฺร กสานิวิฏฺโฐ
อาตาปิโน สํเวคิโน ภวาถ
สทฺธาย สีเลน จ วีริเยน จ
สมาธินา ธมฺมวินิจฺฉเยน จ
สมฺปนฺนวิชฺชาจรณา ปติสฺสตา
ปหสฺสถ ทุกฺขมิทํ อนปฺปํ.
" บุรุษผู้ข้ามอกุศลวิตกด้วยหิริได้ น้อยคนจะมี
ในโลก, บุคคลใดกำจัดความหลับ ตื่นอยู่ เหมือน
ม้าดีหลบแส้ไม่ให้ถูกตน, บุคคลนั้นหาได้ยาก. ท่าน
ทั้งหลายจงมีความเพียร มีความสลดใจ เหมือนม้าดี
ถูกเขาตีด้วยแส้แล้ว (มีความบากบั่น) ฉะนั้น.
ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล วิริยะ
สมาธิ และ ด้วยคุณเครื่องวินิจฉัยธรรม มีวิชชาและ
จรณะถึงพร้อม มีสติมั่นคง จักละทุกข์อันมีประมาณ
ไม่น้อยนี้ได้."
แก้อรรถ
คนผู้ชื่อว่า หิรินิเสธบุคคล ในพระคาถานั้น ก็เพราะอรรถว่า
ห้ามอกุศลวิตกอันเกิดในภายในด้วยความละอายได้.
สองบทว่า โกจิ โลกสฺมึ ความว่า บุคคลเห็นปานนั้น หาได้ยาก
จึงชื่อว่า น้อยคนนักจะมีในโลก.
สองบทว่า โย นิทฺทํ ความว่า บุคคลใด ไม่ประมาทแล้ว ทำสมณ-
ธรรมอยู่ คอยขับไล่ความหลับที่เกิดแล้วแก่ตน ตื่นอยู่ เพราะฉะนั้น
บุคคลนั้นจึงชื่อว่า กำจัดความหลับให้ตื่นอยู่.
บทว่า กสามิว เป็นต้น ความว่า บุคคลใดกำจัดความหลับ ตื่นอยู่
เหมือนม้าดีคอยหลบแส้อันจะตกลงที่ตน คือไม่ให้ตกลงที่ตนได้ฉะนั้น.
บุคคลนั้นหาได้ยาก.
ในคาถาที่ 2 มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้:-
" ภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลาย จงเป็นผู้มีความเพียร มีความ
สลดใจ เหมือนม้าดีอาศัยความประมาท ถูกเขาฟาดด้วยแส้แล้ว รู้สึก
ตัวว่า ' ชื่อแม้ตัวเรา ถูกเขาหวดด้วยแส้แล้ว ' ในกาลต่อมา ย่อมทำ
ความเพียรฉะนั้น. เธอทั้งหลายเป็นผู้อย่างนั้นแล้ว ประกอบด้วยศรัทธา
2 อย่าง ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ด้วยปาริสุทธิศีล 4 ด้วยความเพียร
เป็นไปทางกายและเป็นไปทางจิต ด้วยสมาธิสัมปยุตด้วยสมาบัติ 8 และ
ด้วยคุณเครื่องวินิจฉัยธรรม มีอันรู้เหตุและมิใช่เหตุเป็นลักษณะ, ชื่อว่า
วิชชาและจรณะถึงพร้อม เพราะความถึงพร้อมแห่งวิชชา 3 หรือวิชชา 8
และจรณะ 15, ชื่อว่าเป็นผู้มีสติมั่นคง เพราะความเป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้ว
จักละทุกข์ในวัฏฏะอันมีประมาณไม่น้อยนี้ได้. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระปิโลติกเถระ จบ.
11. เรื่องสุขสามเณร [117]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสุขสามเณร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา " เป็นต้น.
เรื่องคันธเศรษฐี
ความพิสดารว่า ในอดีตกาล มีบุตรของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี
คนหนึ่งชื่อว่า คันธกุมาร เมื่อบิดาของเธอถึงแก่กรรมแล้ว พระราชา
รับสั่งให้หาเธอมาเฝ้า ทรงปลอบโยนแล้ว ได้พระราชทานตำแหน่งเศรษฐี
แก่เธอนั้นแล ด้วยสักการะเป็นอันมาก. จำเดิมแต่กาลนั้นมา คันธกุมารนั้น
ก็ได้ปรากฏนามว่า " คันธเศรษฐี " ครั้งนั้น ผู้รักษาเรือนคลังของเศรษฐี
นั้น ได้เปิดประตูห้องสำหรับเก็บทรัพย์ ขนออกมาแล้ว ชี้แจงว่า " นาย
ทรัพย์นี้ของบิดาท่าน มีประมาณเท่านี้. ของบุรพบุรุษมีปู่เป็นต้น มี
จำนวนเท่านี้." เศรษฐีนั้นแลดูกองทรัพย์แล้ว พูดว่า " ก็ทำไม บุรพบุรุษ
เหล่านั้น จึงมิได้ถือเอาทรัพย์นี้ไปด้วย ? " ผู้รักษาเรือนคลังตอบว่า
" นาย ชื่อว่าผู้ที่จะถือเอาทรัพย์ไปด้วยไม่มี. แท้จริง สัตว์ทั้งหลายพาเอา
แต่กุศลอกุศลที่ตนได้ทำไว้เท่านั้นไป "
เศรษฐีจ่ายทรัพย์สร้างสิ่งต่าง ๆ
เศรษฐีนั้นคิดว่า " บุรพบุรุษเหล่านั้น พากันสั่งสมทรัพย์ไว้แล้ว
ก็ละทิ้งไปเสีย เพราะความที่ตนเป็นคนโง่. ส่วนเราจักถือเอาทรัพย์นั่น
ไปด้วย. " ก็คันธเศรษฐีเมื่อคิดอยู่อย่างนั้น มิได้คิดว่า " เราจักให้ทาน,
หรือจักทำการบูชา. " คิดแต่ว่า " เราจักบริโภคทรัพย์นี้ให้หมดแล้วจึงไป. "