พระโพธิสัตว์แสดงเทวธรรมแก่รากษส
พระโพธิสัตว์แม้เมื่อจันทกุมารนั้นเช้าอยู่ จึงคิดว่า "อันตรายจะ
พึงมี" ดังนี้แล้ว จึงไปเอง เห็นรอย (เท้า) ลงแห่งกุมารแม้ทั้งสองแล้ว
ก็ทราบว่า "สระนี้มีรากษสรักษา" จึงสอดพระขรรค์ไว้ ถือธนูได้ยืน
แล้ว. รากษสเห็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ลง (สู่สระ) จึงแปลงเพศเป็นชาย
ชาวป่า มากล่าวปราศรัยว่า "ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านเดินทางอ่อนเพลีย
ทำไม จึงไม่ลงสู่สระนี้ อาบน้ำ, ดื่มน้ำ, เคี้ยวกินเหง้าบัว ประดับดอกไม้
แล้ว จึงไปเปล่า ?"
พระโพธิสัตว์พอเห็นบุรุษนั้นก็ทราบได้ว่า "ผู้นี้เป็นยักษ์" จึง
กล่าวว่า "ท่านจับเอาน้องชายทั้งสองของข้าพเจ้าไว้หรือ ?"
ยักษ์. เออ ข้าพเจ้าจับไว้.
โพธิสัตว์. จับไว้ทำไม ?
ยักษ์. ข้าพเจ้า ย่อมได้ (เพื่อกิน) ผู้ลงสู่สระนี้.
โพธิสัตว์. ก็ท่านย่อมได้ทุกคนเทียวหรือ ?
ยักษ์. เว้นผู้รู้เทวธรรม คนที่เหลือ ข้าพเจ้าย่อมได้.
โพธิสัตว์. ก็ท่านมีความต้องการด้วยเทวธรรมหรือ ?
ยักษ์. ข้าพเจ้ามีความต้องการ.
โพธิสัตว์. ข้าพเจ้าจักกล่าว (ให้ท่านฟัง).
ยักษ์. ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวเถิด.
โพธิสัตว์. ข้าพเจ้ามีตัวสกปรก ไม่อาจกล่าวได้.
ยักษ์ให้พระโพธิสัตว์อาบน้ำ ให้ดื่มน้ำอันควรดื่ม ตบแต่งแล้ว
เชิญขึ้นสู่บัลลังก์ ในท่ามกลางมณฑปอันแต่งไว้ ตัวเองหมอบอยู่แทบ
บาทมูลของพระโพธิสัตว์นั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์บอกกะยักษ์นั้นว่า "ท่านจงฟังโดยเคารพ"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"นักปราชญ์ เรียกคนผู้ถึงพร้อมด้วยหิริและ
โอตตัปปะ ตั้งมั่นดีแล้วในธรรมขาว เป็นผู้สงบเป็น
สัตบุรุษในโลกว่า 'ผู้ทรงเทวธรรม."
ยักษ์ฟังธรรมเทศนานี้แล้วเลื่อมใส กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า
" ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อท่านแล้ว จะให้น้องชายคนหนึ่ง, จะนำ
คนไหนมา ?"
โพธิสัตว์. จงนำน้องชายคนเล็กมา.
ยักษ์. ท่านบัณฑิต ท่านรู้เทวธรรมอย่างเดียวเท่านั้น, แต่ท่านไม่
ประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้น.
โพธิสัตว์. เพราะเหตุไร ?
ยักษ์. เพราะท่านให้นำน้องชายคนเล็กมาเว้นคนโตเสีย ย่อมไม่
ชื่อว่าทำอปจายิกกรรม1ต่อผู้เจริญ.
พระโพธิสัตว์ทั้งรู้ทั้งพฤติเทวธรรม
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า "ยักษ์ เรารู้ทั้งเทวธรรม, ทั้งประพฤติใน
เทวธรรมนั้น, เพราะเราอาศัยน้องชายคนเล็กนั่น พวกเราจึงต้องเข้าป่า
นี้, เหตุว่า มารดาของน้องชายนั่น ทูลขอราชสมบัติกะพระราชบิดาของ
เราทั้งสอง เพื่อประโยชน์แก่น้องชายนั้น, ก็พระบิดาของเราไม่พระราช-
ทานพรนั้น ทรงอนุญาตการอยู่ป่า เพื่อประโยชน์แก่การตามรักษาเรา
1. กรรมคือการทำความอ่อนน้อม.
ทั้งสอง. กุมารนั้นไม่กลับ มากับพวกเรา. แม้เมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวว่า
ยักษ์ตนหนึ่งในป่าเคี้ยวกินน้องชายคนเล็กนั้น ' ดังนี้ ใคร ๆ ก็จักไม่
เชื่อ. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าผู้กลัวต่อภัยคือการครหา จึงให้นำน้องชาย
คนเล็กนั้นผู้เดียวมาให้. "
ยักษ์เลื่อมใสต่อพระโพธิสัตว์ สรรเสริญว่า " สาธุ ท่านบัณฑิต
ท่านผู้เดียวทั้งรู้เทวธรรม ทั้งประพฤติในเทวธรรม " ดังนี้แล้ว จึงได้
นำเอาน้องชายแม้ทั้งสองคนมาให้.
พระโพธิสัตว์ได้ครองราชสมบัติ
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสพรรณนาโทษในความเป็นยักษ์แล้ว
ให้ยักษ์นั้นดำรงอยู่ในศีล 5. พระโพธิสัตว์นั้น เป็นผู้มีความรักษาอัน
ยักษ์นั้นจัดทำด้วยดีแล้ว อยู่ในป่านั้น. ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคต
แล้ว. พายักษ์ไปยังกรุงพาราณสี ครอบครองราชสมบัติแล้ว พระราช-
ทานตำแหน่งอุปราชแก่จันทกุมาร พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่สุริย-
กุมาร โปรดให้สร้างที่อยู่ในรัมณียสถานแก่ยักษ์. (และ) ได้ทรงทำโดย
ประการที่ยักษ์นั้นจะถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ.
พระศาสดาทรงย่อชาดก
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า " รากษสน้ำนั้น ในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุผู้มีภัณฑะมาก, สุริย-
กุมาร เป็นพระอานนท์. จันทกุมาร เป็นพระสารีบุตร. มหิสสาสกุมาร
ได้เป็นเรานี่เอง."
พระศาสดา ครั้นตรัสชาดกอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า " ภิกษุ ในกาล
ก่อน เธอแสวงหาเทวธรรม ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะเที่ยวไปอย่าง
นั้น. บัดนี้ เธอยืนอยู่โดยทำนองนี้ ในท่ามกลางแห่งบริษัท 4 กล่าวอยู่
ต่อหน้าเราว่า " ฉันมีความปรารถนาน้อย " ดังนี้ ชื่อว่าได้ทำกรรมอันไม่
สมควรแล้ว. เพราะว่า บุคคลจะชื่อว่าเป็นสมณะ ด้วยเหตุสักว่าห้ามผ้า
สาฎกเป็นต้นก็หามิได้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
8. น นคฺคจริยา น ชฏา น ปงฺกา
นานาสกา ตณฺฑิลสายิกา วา
รโชชลฺลํ อุกูกุฏิกป)ปธานํ
โสเธนฺติ มจฺจํ อวิติณฺณกงฺขํ.
" การประพฤติเป็นคนเปลือย ก็ทำสัตว์ให้บริสุทธิ์
ไม่ได้, การเกล้าชฎาก็ไม่ได้ การนอนเหนือเปือกตม
ก็ไม่ได้, การไม่กินข้าวก็ดี การนอนบนแผ่นดินก็ดี
ความเป็นผู้มีกายหมักหมมด้วยธุลีก็ดี ความเพียร
ด้วยการนั่งกระหย่งก็ดี (แต่ละอย่าง) หาทำสัตว์ผู้ยัง
ไม่ล่วงสงสัยให้บริสุทธิ์ได้ไม่.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานาสกา ตัดบทเป็น น อนาสกา.
ความว่า การห้ามภัต. การนอนบนแผ่นดิน ชื่อว่า ตณฺฑิลสายิกา
ธุลีที่หมักหมมอยู่ในสรีระ โดยอาการคือดังฉาบทาด้วยเปือกตม ชื่อว่า
รโชชลฺลํ, ความเพียรที่ปรารภแล้ว ด้วยความเป็นผู้นั่งกระโหย่ง ชื่อว่า
อุกฺกุฏิกปฺปธานํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายคำนี้ว่า " ก็สัตว์ใดเข้าใจว่า
เราจักบรรลุความบริสุทธิ์ กล่าวคือการออกจากโลก ด้วยการปฏิบัติ
อย่างนี้ ' ดังนี้แล้ว พึงสมาทานประพฤติวัตรอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวัตร
มีการประพฤติเป็นคนเปลือยเป็นต้น เหล่านี้. สัตว์นั้น พึงชื่อว่าเจริญ
ความเห็นผิด และพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากโดยส่วนเดียว. ด้วยว่า
วัตรเหล่านั้น ที่สัตว์สมาทานดีแล้ว ย่อมยังสัตว์ที่ชื่อว่าผู้ยังไม่ล่วงความ
สงสัยอันมีวัตถุ 5 อันตนยังไม่ก้าวล่วงแล้วให้หมดจดไม่ได้. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุผู้มีภัณฑะมาก จบ.
9. เรื่องสันตติมหาอำมาตย์ [115]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสันตติมหา-
อำมาตย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อลงฺกโต เจปิ สมญฺจเรยฺย"
เป็นต้น.
สันตติมหาอำมาตย์ ได้ครองราชสมบัติ 7 วัน
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งหนึ่ง สันตติมหาอำมาตย์นั้นปราบปราม
ปัจจันตชนบท ของพระเจ้าปเสนทิโกศล อันกำเริบให้สงบแล้วกลับมา.
ต่อมา พระราชาทรงพอพระหฤทัย ประทานราชสมบัติให้ 7 วัน ได้
ประทานหญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับนางหนึ่งแก่เขา. เขาเป็นผู้
มึนเมาสุราสิ้น 7 วัน ในวันที่ 7 ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างแล้ว
ขึ้นสู่คอช้างตัวประเสริฐไปสู่ท่าอาบน้ำ เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไป
บิณฑบาตที่ระหว่างประตู อยู่บนคอช้างตัวประเสริฐนั่นเอง ผงกศีรษะ
ถวายบังคมแล้ว.
พระศาสดาทรงทำการแย้ม พระอานนท์ทูลถามว่า "ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล ? เป็นเหตุให้ทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ"
เมื่อจะตรัสบอกเหตุแห่งการแย้ม จึงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติ-
มหาอำมาตย์, ในวันนี้เอง เขาทั้งประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างเทียว มา
สู่สำนักของเรา จักบรรลุพระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบด้วยบท 4
แล้ว นั่งบนอากาศ ชั่ว 7 ลำตาล จักปรินิพพาน."
มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา ผู้กำลังตรัสกับพระเถระอยู่
คน 2 พวกมีความคิดต่างกัน
บรรดามหาชนเหล่านั้น พวกมิจฉาทิฏฐิ คิดว่า " ท่านทั้งหลาย
จงดูกิริยาของพระสมณโคดม, พระสมณโคดมนั่น ย่อมพูดสักแต่ปาก
เท่านั้น ได้ยินว่า ในวันนี้ สันตติมหาอำมาตย์นั่น มึนเมาสุราอย่างนั้น
แต่งตัวอยู่ตามปกติ ฟังธรรมในสำนักของพระสมณโคดมนั้นแล้ว จัก
ปรินิพพาน, ในวันนี้ พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมนั้นด้วยมุสาวาท."
พวกสัมมาทิฏฐิ คิดกันว่า "น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
มีอานุภาพมาก, ในวันนี้เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า
และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์."
ส่วนสันตติมหาอำมาตย์ เล่นน้ำตลอดวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว ไปสู่
อุทยาน นั่งที่พ่นโรงดื่ม.
หญิงฟ้อนเป็นลมตาย
ฝ่ายหญิงนั้น ลงไปในท่ามกลางที่เต้นรำ เริ่มจะแสดงการฟ้อน
และการขับ, เมื่อนางแสดงการฟ้อนการขับอยู่ในวันนั้น ลมมีพิษเพียง
ดังศัสตราเกิดขึ้นแล้วในภายในท้อง ได้ตัดเนื้อหทัยแล้ว เพราะความที่
นางเป็นผู้มีอาหารน้อยถึง 7 วัน เพื่อแสดงความอ้อนแอ้นแห่งสรีระ. ใน
ทีทันใดนั้นเอง นางมีปากล้าและตาเหลือก ได้กระทำกาละแล้ว.
โศกเพราะภรรยาตาย
สันตติมหาอำมาตย์ กล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย จงตรวจดูนางนั้น"
ในขณะสักว่าคำอันชนทั้งหลายกล่าวว่า "หญิงนั้นดับแล้ว นาย" ดังนี้
ถูกความโศกอย่างแรงกล้าครอบงำแล้ว. ในขณะนั้นเอง สุราที่เธอดื่ม