เมนู

" ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็นพระราชา,
พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่าธุลีบนพระเศียร, ผู้ไม่
กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี, ผู้กำหนัดอยู่ ท่าน
เรียกว่า คนพาล."

ก็เพลงขับของนางนาคมาณวิกา มีอธิบายว่า:
บาทคาถาว่า กึสุ อธิปตี ราชา ความว่า ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า
จึงชื่อว่าพระราชา ?
คาถาว่า กึสุ ราชา รชสฺสิโร ความว่า อย่างไรพระราชา ย่อม
เป็นผู้ชื่อว่า มีธุลีบนพระเศียร ?
บทว่า กถํ สุ ความว่า อย่างไรกันเอ่ย พระราชานั้นเป็นผู้ชื่อว่า
ปราศจากธุลี ?
ส่วนเพลงขับแก้ มีอธิบายว่า :
บาทคาถาว่า ฉทฺวาราธิปตี ราชา ความว่า ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่แห่ง
ทวาร 6 อันอารมณ์ทั้ง 6 มีรูปเป็นต้นครอบงำไม่ได้ แม้ในทวารหนึ่ง
ผู้นี้ชื่อว่าเป็นพระราชา.
บาทคาถาว่า รชมาโน รชสฺสิโร ความว่า ก็พระราชาใดกำหนัด
อยู่ในอารมณ์เหล่านั้น, พระราชาผู้กำหนัดอยู่นั้น ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร.
บทว่า อรชํ ความว่า ส่วนพระราชาผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้
ปราศจากธุลี.
บทว่า รชํ ความว่า พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า " เป็น
คนพาล"
พระศาสดาครั้นประทานเพลงขับแก้ แก่อุตตรมาณพนั้นอย่างนี้

แล้ว ตรัสว่า " อุตตระ " เมื่อเธอขับเพลงขับนี้ (นาง) จักขับเพลงขับแก้
เพลงขับของเธออย่างนี้ว่า:-
" คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัด ไป, บัณฑิตย่อม
บรรเทาอย่างไร, อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจาก
โยคะ, ท่านผู้อันเราถามแล้ว โปรดบอกข้อนั้นแก่เรา "

ทีนั้น ท่านพึงขับเพลงขับแก้นี้แก่นางว่า :-
" คนพาลอันห้วงน้ำ (คือกามโอฆะเป็นต้น) ย่อม
พัดไป, บัณฑิตย่อมบรรเทา (โอฆะนั้น) เสียด้วย
ความเพียร, บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง
ท่านเรียกว่า ผู้มีความเกษมจากโยคะ "

เพลงขับแก้นั้น มีเนื้อความว่า :-
" คนพาลอันโอฆะ (กิเลสดุจห้วงน้ำ) 4 อย่าง
มีโอฆะคือกามเป็นต้น ย่อมพัดไป, บัณฑิตย่อม
บรรเทาโอฆะนั้น ด้วยความเพียร กล่าวคือสัมมัป-
ปธาน (ความเพียรอันตั้งไว้ชอบ), บัณฑิตนั้นไม่
ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง มีโยคะคือกามเป็นต้น ท่าน
เรียกชื่อว่า ' ผู้มีความเกษมจากโยคะ."

อุตตรมาณพ เมื่อกำลังเรียนเพลงขับแก้นี้เทียว ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผล. เขาเป็นโสดาบัน เรียนเอาคาถานั้นไปแล้ว กล่าวว่า " ผู้เจริญ
ฉันนำเพลงขับแก้เพลงขับมาแล้ว, พวกท่านจงให้โอกาสแก่ฉัน " ได้
คุกเข่าไปในท่ามกลางมหาชนที่ยืนยัดเยียดกันอยู่แล้ว. นางนาคมาณวิกา
ยืนฟ้อนอยู่บนพังพานของพระบิดา แล้วขับเพลงขับว่า

" ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา ? " เป็นต้น.
อุตตรมาณพ ขับเพลงแก้ว่า
" ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็พระราชา " เป็นอาทิ. นาง-
นาคมาณวิกา ขับเพลงโต้แก่อุตตรมาณพนั้นอีกว่า
" คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัคไป ? " เป็นต้น.
ทีนั้น อุตตรมาณพเมื่อจะขับเพลงแก้แก่นาง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
" คนพาลอันห้วงน้ำย่อมพัดไป " ดังนี้เป็นต้น.

นาคราชทราบว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว


นาคราชพอฟังคาถานั้น ทราบความที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ดีใจ
ว่า " เราไม่เคยฟังชื่อบทเห็นปานนี้ ตลอดพุทธันดรหนึ่ง, " ผู้เจริญ
พระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในโลกแล้วหนอ " จึงเอาหางฟาดน้ำ, คลื่นใหญ่
เกิดขึ้นแล้ว. ฝั่งทั้งสองพังลงแล้ว. พวกมนุษย์ในที่ประมาณอุสภะหนึ่ง
แต่ฝั่งข้างนี้และฝั่งข้างโน้น จมลงไปในน้ำ. นาคราชนั้น ยกมหาชนมี
ประมาณเท่านั้นวางไว้บนพังพาน แล้วตั้งไว้บนบก. นาคราชนั้นเข้าไป
หาอุตตรมาณพ แล้วถามว่า " แน่ะนาย พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ? "
อุตตระ. ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง มหาราช.
นาคราชนั้นกล่าวว่า " มาเถิดนาย พวกเราจะพากันไป " แล้ว
ได้ไปกับอุตตรมาณพ. ฝ่ายมหาชนก็ได้ไปกับเขาเหมือนกัน. นาคราชนั้น
ไปถึง เข้าไปสู่ระหว่างพระรัศมีมีพรรณะ 6 ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
ได้ยืนร้องไห้อยู่. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนาคราชนั้นว่า " นี่อะไร
กัน ? มหาบพิตร. "
นาคราช. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้

เช่นกับด้วยพระองค์ ได้ทำสมณธรรมสิ้น 2 หมื่นปี แม้สมณธรรมนั้น
ก็ไม่อาจเพื่อจะช่วยข้าพระองค์ได้. ข้าพระองค์อาศัยเหตุสักว่าให้ใบตะไคร้
น้ำขาดไปมีประมาณเล็กน้อย ถือปฏิสนธิในอเหตุกสัตว์ เกิดในที่ที่ต้อง
เลื้อยไปด้วยอก. ย่อมไม่ได้ความเป็นมนุษย์เลย. ไม่ได้ฟังพระธรรม,
ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยพระองค์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง.
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้ว ตรัสว่า " มหา-
บพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์หาได้ยากนัก, การฟังพระสัทธรรม ก็
อย่างนั้น การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน ; เพราะ
ว่าทั้งสามอย่างนี้ บุคคลย่อมได้โดยลำบากยากเย็น " เมื่อจะทรงแสดง
ธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท.
" ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก, ชีวิต
ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก, การฟังพระสัทธรรม
เป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นการยาก."

แก้อรรถ


เนื้อความแห่งพระคาถานั้น พึงทราบดังนี้ว่า " ก็ขึ้นชื่อว่า ความ
ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็นการยาก คือหาได้ยากเพราะความเป็น
มนุษย์ บุคคลต้องได้ด้วยความพยายามมาก ด้วยกุศลมาก, ถึงชีวิตของ
สัตว์ทั้งหลาย ก็ชื่อว่าเป็นอยู่ยาก เพราะทำกรรมมีกสิกรรมเป็นต้นเนือง ๆ
แล้วสืบต่อความเป็นไปแห่งชีวิตบ้าง เพราะชีวิตเป็นของน้อยบ้าง, แม้

การฟังพระสัทธรรม ก็เป็นการยาก เพราะค่าที่บุคคลผู้แสดงธรรมหา
ได้ยาก ในกัปแม้มิใช่น้อย. อนึ่ง ถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ก็เป็นการยากเหมือนกัน คือได้ยากยิ่งนัก เพราะอภินิหารสำเร็จ
ด้วยความพยายามมาก และเพราะการอุบัติขึ้นแห่งท่านผู้มีอภินิหารอัน
สำเร็จแล้ว เป็นการได้โดยยาก ด้วยพันแห่งโกฏิกัป แม้มิใช่น้อย. "

นาคราชไม่บรรลุโสดาบัน


ในกาลจบเทศนา เหล่าสัตว์ 8 หมื่น 4 พัน ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว.
ฝ่ายนาคราชควรจะได้โสดาปัตติผลในวันนั้น แต่ก็ไม่ได้ เพราะค่าที่ตน
เป็นสัตว์ดิรัจฉาน. นาคราชนั้นถึงภาวะคือความไม่ลำบากในฐานะทั้ง 5
กล่าวคือการถือปฏิสนธิ การลอกคราบ การวางใจแล้วก้าวลงสู่ความหลับ
การเสพเมถุนกับด้วยนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน และจุติ ที่พวกนาคถือเอา
สรีระแห่งนาคนั่นแหละ แล้วลำบากอยู่ ย่อมได้เพื่อเที่ยวไปด้วยรูปแห่ง
มาณพนั่นแล ดังนี้แล.
เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ จบ.

4. เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ [151]


ข้อความเบื้อต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปัญหาของ
พระอานนทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สพฺพปาปสฺส อกรณํ "
เป็นต้น.

กาลแห่งพระพุทธเจ้าต่างกัน แต่คำสอนเหมือนกัน


ได้ยินว่า พระเถระนั่งในที่พักกลางวัน คิดว่า " พระศาสดาตรัส
บอกเหตุแห่งพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ทุกอย่าง คือ พระชนนีและพระ-
ชนก การกำหนดพระชนมายุ ไม้เป็นที่ตรัสรู้ สาวกสันนิบาต อัครสาวก
อุปัฏฐาก. แต่อุโบสถมิได้ตรัสบอกไว้; อุโบสถแห่งพระพุทธเจ้าแม้
เหล่านั้นเหมือนอย่างนี้ หรือเป็นอย่างอื่น. " ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
แล้วทูลถามเนื้อความนั้น. ก็เพระความแตกต่างแห่งกาลแห่งพระพุทธเจ้า
เหล่านั้นเท่านั้น ได้มีแล้ว, ความแตกต่างแห่งคาถาไม่มี; ด้วยว่า พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงกระทำอุโบสถในทุก ๆ 7 ปี,
เพราะพระโอวาทที่พระองค์ประทานแล้วในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้7ปี,
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีและเวสสภู ทรงกระทำอุโบสถใน
ทุก ๆ 6 ปี. (เพราะพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 2 พระองค์นั้น
ทรงประทานในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้ 6 ปี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากกุสันธะ และ โกนาคมนะ ได้ทรงกระทำอุโบสถทุก ๆ ปี,
(เพราะพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์นั้น ทรงประทาน
ในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้ปีหนึ่ง ๆ); พระกัสสปทสพล ได้ทรงกระทำ
อุโบสถทุก ๆ 6 เดือน, เพราะพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานในวัน

หนึ่ง พอไปได้ 6 เดือน; ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสความแตกต่างกัน
เเห่งกาลนี้ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " ส่วนโอวาทคาถาของ
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นอย่างนี้นี่แหละ." ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงกระทำ
อุโบสถแห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ซึ่งเป็นอันเดียวกันทั้งนั้นให้
แจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
4. สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต.
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.
" ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึง
พร้อม ความทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ความอดทนคือความอด
กลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย
ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม, ผู้ทำร้ายผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น
สมณะ. ความไม่กล่าวร้าย 1 ความไม่ทำร้าย 1
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ 1 ความเป็นผู้รู้ประมาณ

ในภัตตาหาร 1 ที่นอนที่นั่งอันสงัด 1 ความประกอบ
โดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต 1 นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพปาปสฺส ได้แก่ อกุศลกรรมทุก
ชนิด. การยังกุศลให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ออกบวชจนถึงพระอรหัตมรรค และ
การยังกุศลที่ตนให้เกิดขึ้นแล้วให้เจริญ ชื่อว่า อุปสมฺปทา. การยังจิตของ
ตนให้ผ่องใสจากนิวรณ์ทั้ง 5 ชื่อว่า สจิตฺตปริโยทปนํ.
บาทพระคาถาว่า เอตํ พุทฺธานสาสนํ1 โดยอรรถว่า นี้เป็นวาจา
เครื่องพร่ำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์.
บทว่า ขนฺติ ความว่า ขึ้นชื่อว่าความอดทน กล่าวคือ ความอด
กลั้นนี้ เป็นตบะอย่างยอดยิ่ง คืออย่างสูงสุดในพระศาสนานี้.
บาทพระคาถาว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ความว่า พุทธ-
บุคคลทั้ง 3 จำพวกนี้ คือ พระพุทธะจำพวก 1 พระปัจเจกพุทธะจำพวก 1
พระอนุพุทธะจำพวก 1 ย่อมกล่าวพระนิพพานว่า " เป็นธรรมชาติอัน
สูงสุด. "
บทว่า น หิ ปพฺพชิโต โดยความว่า บุคคลผู้ที่ล้างผลาญบีบคั้น
สัตว์อื่นอยู่ ด้วยเครื่องประหารต่าง ๆ มีฝ่ามือเป็นต้น ชื่อว่า ผู้ทำร้ายผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต. บทว่า สมโณ ความว่า บุคคลผู้ยังเบียดเบียนสัตว์
อื่นอยู่ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะด้วยเหมือนกัน.
การไม่ติเตียนเอง และการไม่ยังผู้อื่นให้ติเตียน ชื่อว่า อนูปวาโท. การ
ไม่ทำร้ายเอง และการไม่ใช้ผู้อื่นให้ทำร้าย ชื่อว่า อนูปฆาโต.
1. บาลี เป็น พุทฺธาน สาสนํ



.