พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [1. ปฐมปัณณาสก์] 3. มหาวรรค 3. กายสูตร
(ความตีตัวเสมอ) ... มัจฉริยะ(ความตระหนี่)ที่บุคคลพึงละทางกายก็ไม่ได้ ทางวาจาก็
ไม่ได้ แต่พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้
ความริษยาอันชั่วที่บุคคลพึงละทางกายก็ไม่ได้ ทางวาจาก็ไม่ได้ แต่พึงเห็นชัด
ด้วยปัญญาแล้วจึงละได้
ความริษยาอันชั่ว เป็นอย่างไร
คือ เมื่อคหบดีหรือบุตรของคหบดีในโลกนี้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก เงิน
หรือทอง ทาส หรือผู้เข้าไปอาศัยของคหบดีหรือบุตรของคหบดีคนใดคนหนึ่ง
มีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ คหบดีหรือบุตรของคหบดีนี้ จะไม่พึงสมบูรณ์ด้วย
ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงิน หรือทอง
อนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ
คิลานปัจจัยเภสัชชบริขาร มีความคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ท่านผู้นี้จะไม่พึงได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชชบริขาร
นี้เรียกว่า ความริษยาอันชั่ว
ความริษยาอันชั่วที่บุคคลพึงละทางกายก็ไม่ได้ ทางวาจาก็ไม่ได้ แต่พึงเห็นชัด
ด้วยปัญญาแล้วจึงละได้
(ความปรารถนาอันชั่วที่บุคคลพึงละทางกายก็ไม่ได้ ทางวาจาก็ไม่ได้ แต่พึง
เห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้)
ความปรารถนาอันชั่ว เป็นอย่างไร
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จัก
เราว่า เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นผู้
มีศีล เป็นผู้มีสุตะน้อย ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นพหูสูต เป็นผู้
ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่ ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นผู้ชอบสงัด
เป็นผู้เกียจคร้าน ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นผู้ปรารภความเพียร
เป็นผู้หลงลืมสติ ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น เป็นผู้
มีปัญญาทราม ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีปัญญา ไม่เป็น
พระขีณาสพ ปราถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้จักเราว่า เป็นพระขีณาสพ
นี้เรียกว่า ความปรารถนาอันชั่ว